วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

'ปลื้ม'มาแรง! กรีดยุคน้ำเน่ายับแนะยุคใหม่หยุดขัดแย้ง




'ปลื้ม'มาแรง! กรีดยุคน้ำเน่ายับแนะยุคใหม่หยุดขัดแย้ง : สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาเอก สาขาสันติศึกษา มจร รายงาน



สมัครเข้าสังกัดพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับลูกชายคนเดียวของนายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ คือนายสุรบถ หลีกภัย หรือปลื้ม สังเกตลีลาการสัมภาษณ์แล้วต้องบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นมีดโกนอาบน้ำผึ้ง


น่าสนใจคือคำที่นายสุรบถนำมาประกอบให้การสัมภาษณ์ที่ระบุว่า  "นักการเมืองยุคใหม่ ควรหยุดความขัดแย้งความแตกแยก  ต้องปล่อยวางบางอย่าง และหันหน้ามาคุยอย่างจริงจังกันด้วยเหตุผล  เพราะคนรุ่นใหม่ความขัดแย้งไม่รุนแรงเท่ายุครุ่นพ่อรุ่นแม่  เพราะเด็กๆเบื่อกับเรื่องทะเลาะกัน เป็นเรื่องไกลตัว"


นายสุรบถนี้ไม่ได้นิยามให้ชัดเจนว่า "นักการเมืองยุคใหม่" มีความหมายว่าอย่างไร ควรที่จะมีอายุเท่าไร และกรอบความคิดควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีผู้เสนอความคิดไว้ว่า  "นักการเมืองยุคใหม่นั้นต้องวัดกันด้วยสมองไม่ใช้อายุ"  แต่นายสุรบถได้สะท้อนให้เห็นแต่เพียงว่า  สังคมการเมืองไทยยังมีความขัดแย้ง และความแตกแยกอยู่ แต่นายสุรบถก็ยังได้พูดชัดเจนว่าสาเหตุของปัญหานั้นเกิดจากใครอะไร อย่างไร แล้วเสนอแนวทางหรือวิธีการแก้ไขด้วยคำว่า "หยุด" และ "ปล่อยวาง" เสร็จแล้วหันหน้ามาคุยกันอย่างมีเหตุผลอย่างจริงจัง


ความจริงแล้วคำเหล่านี้ก็ไม่ใช่คำใหม่ที่มีการพูดกันอยู่เป็นประจำ เป็นแต่เพียงเปลี่ยนหน้าคนพูดเท่านั้น แต่ไม่มีกระบวนการในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง แตกแยกอย่างที่ชัดเจน หากจะบอกว่าการปฏิรูปคือกระบวนการ ก็ต้องยอมรับว่าระยะหลังคำว่า ปฏิรูป ปรองดอง สมานฉันท์ แทบจะไม่มีใครสนใจพูดถึงแล้ว


หากคนเรียนสันติศึกษาจะเข้าใจว่า คำที่นายสุรบถนั้นก็เป็นเนื้อที่ศึกษากันทั้งแนวความคิดทฤษฎี กระบวนบริหารจัดการ และการปฏิบัติการ และทำให้เข้าใจว่าความขัดแย้งนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ต้องบริหารจัดการที่สาเหตุของความขัดแย้ง 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเรียนที่หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) จะสามารถบูรณาการเข้ากับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่เป็นหัวใจสำคัญคือหลักอริยสัจ ๔  ประการ หรือเรียกว่า “อริยสัจโมเดล” ได้ดังนี้


๑. ทุกข์ เป็นอริยสัจหรือความจริงอันประเสริฐข้อที่ ๑ คือสภาวธรรมที่ทนได้ยาก พระพุทธองค์ได้กำหนดกิจไว้คือจะต้องกำหนดรู้  ซึ่งความขัดแยง ความรุนแรง สงคราม ตามแนวคิดของตะวันตก จัดอยู่ในทุกข์ทั้งสิ้น


“ความขัดแย้ง”  ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “contrast”  แปลว่า  “ตัดกัน” ความขัดแย้งถือว่าเป็นปกติหรือเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสังคมเพราะมีประสบการณ์และพื้นฐานต่างกันแต่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ไม่มีความสมนัย คือไม่มีความเห็นความเสมอกันไม่ไปด้วยกัน มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เท่าเทียมกัน มีความเห็นไม่ตรงกัน มีความต้องการผลประโยชน์ต่างกัน ซึ่งเป็นได้ทั้งบุญและบาป กุศลและอกุศล เชิงบวกและลบ ความขัดแย้งเชิงบวกทำให้คนหันหน้ามาคุยกัน สานเสวนากัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างสันติ ขณะที่ความขัดแย้งเชิงลบทำให้เกิดความรุนแรง ฆ่ากันทำร้ายกัน  นำไปสู่สงคราม และมีทั้งความขัดแย้งภายใน (Domestic conflict)   ภาษาบาลี คือ “อชฺฌตฺตํ” เป็นความขัดแย้งแบบหลบใน และความขัดแย้งภายนอก (Outerconflict) ภาษาบาลี คือ “พาหิรํ” แต่ที่สำคัญและน่ากลัวที่สุดคือ ความขัดแย้งภายในหรือความขัดแย้งแบบไร้ตัวตนหรือแบบหลบใน เพราะมีกิเลสคือ “ปฏิฆะ” ความขุ่นข้องหมองใจ หลบซ่อนอยู่ภายในจิตใจที่มีลักษณะเล็กๆ เบาๆ เหมือนขนนก สะสมมาเรื่อยๆ รอเวลาที่จะเอาคืนรอเวลาที่จะระเบิดออกมาแล้วนำไปสู่ความรุนแรง เหมือนขนนกรอเวลาที่เชือกขาด 


ความขัดแย้ง มีพัฒนาการ ๓ ระยะ  คือ “ตั้งตัว” หรือกำลังตั้ง “ตื่นตัว” หรือเริ่มมีเสียงออกมา  และ “แตกตัว” หรือกระจายตัวออกมา  โดยมีพัฒนาการเป็น ๓ แยกของความขัดแย้ง คือ “แปลกแยก”“แบ่งแยก”   และ “แตกแยก” ทำให้เกิด ๔ แย่งคือ “แย่งอาหารกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่  แย่งคู่กันสวาท  แย่งอำนาจเป็นใหญ่” 

“ความรุนแรง” นั้นมีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม   รศ.ดร.โคทม  อารียา   ได้นำเสนอตามกรอบความคิดของ “โยฮันกัลตุง” (Johan Galtung) โดยแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ   ทางตรงหรือกายภาพ   เชิงโครงสร้าง   และเชิงวัฒนธรรม   ความรุนแรงทางกายภาพนั้นจะต้องมีผู้กระทำให้เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางวาจา  ส่วนความรุนแรงเชิงโครงสร้างหรือเชิงระบบจะไม่ปรากฏผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ มีลักษณะเป็นการขัดขวางไม่ให้มีการตอบสนองต่อความจำเป็นขั้นพื้นฐาน  การแบ่งชนชั้น ลัทธิเหยียดผิว ชาติพันธุ์ การทำลายตนเอง การทำลายชุมชน  และการทำลายรัฐ-ชาติ โดยรัฐประหาร การกบฏ การก่อการร้าย สงคราม ขณะที่ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมก็จะไม่ปรากฏผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเช่นกัน โดยจะการถ่ายทอดออกมาเป็นความเกลียด ความกลัว อคติ ความเจ็บแค้น เป็นความรุนแรงทางศาสนา อุดมการณ์ ภาษา และศิลปะ

“สงคราม” จัดเป็นอาชญากรรมเพียงอย่างเดียวที่ยกเว้นการพิพากษาโทษ เป็นการฆ่าแบบเป็นระบบป่าเถื่อนของผู้มีกำลังทางอาวุธเพื่อแสดงอำนาจ โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีความเคียดเเค้นชิงชังต่อกัน บางสงครามอาศัยความเชื่อทางศาสนาเป็นข้ออ้างหรือเป็นเครื่องมือปลุกระดม และเป็นเครื่องมือของคนไม่มีเหตุผลไม่มีปัญญา สิ่งหนึ่งที่สงครามขาดไม่ได้เลย คือ “ผู้หญิง” ที่ต้องตกเป็นทาสทางกามารมณ์ ถูกข่มขืน สตรีต้องตกเป็นม่าย ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าสงครามแล้วเห็นจะมีประโยชน์อยู่อย่างเดียว คือ “ทำสงครามกับกิเลส” จัดการกับกิเลสภายในตนเอง เริ่มตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ภายในใจของตน เราควรหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ก่อให้เกิดสงคราม ด้วยการเริ่มจัดการกับสงครามภายในใจของเราเอง ดับสงครามภายใน เพื่อป้องกันสงครามภายนอก 

๒. สมุทัย สาเหตุทำให้เกิดทุกข์ ความขัดแย้ง ความรุนแรง และสงคราม อันได้แก่ อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ขยายความเป็น ปปัญจธรรม คือ ตัณหา ทิฏฐิ มานะ หรือ “สังโยชน์” คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์  สิ่งที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์  สิ่งผูกมัด  ร้อยรัดสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ผูกติดอยู่กับความทุกข์ ทำให้ไม่สามารถสลัดหลุดออกมาได้ ๑๐ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา  สีลัพพตปรามาส  กามราคะ ปฏิฆะ   รูปราคะ  อรูปราคะ  มานะ  อุทธัจจะ  อวิชชา  พระพุทธองค์กำหนดกิจไว้จะต้องละหรือแก้ไข ขณะที่แนวคิดตะวันตกอย่างเช่น “จอห์น แมคคอนเนล” และ “คริสโตเฟอร์ มัว” ได้แยกสาเหตุของความขัดแย้ง  ความรุนแรง และสงคราม ออกเป็น ๕ ประเภทดังนี้


๑. ด้านข้อมูล (Data Conflict) ได้แก่ ข้อมูลขัดกัน ขาดข้อมูล เข้าใจผิด หรือสื่อสารไม่ถูกต้อง สับสนเรื่องหน้าที่ มุมมองต่างกันในเรื่องของข้อมูล ทั้งฝ่ายสนับสนุนในการให้ข้อมูลไม่ชัดแจ้ง  ๒. ด้านผลประโยชน์ (Interest Conflict) ได้แก่ ขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรทางด้านธรรมชาติ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่ปรารถนาและต้องการ  ๓. ด้านความสัมพันธ์ (Relationship Conflict) ได้แก่ บุคลิกภาพ และพฤติกรรมที่ต่างกัน พฤติกรรมทางลบที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และวิธีการในการทำสิ่งต่าง ๆ แตกต่างกัน ยังไม่ปรากฏชัดเจน แต่เป็นผลต่อความขัดแย้งที่สะสมมาและเพิ่มความรุ่นแรงขึ้น เป็นผลให้ความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกัน ซึ่งยากต่อการเจรจาในการจัดการความขัดแย้งต่อไป 


๔. ด้านโครงสร้าง (Structural Conflict) ได้แก่ การแก่งแย่ง โดยเปลี่ยนแปลงระเบียบกฎเกณฑ์เดิมด้วย ขัดแย้งเกี่ยวกับระเบียบปฏิบัติ ขัดแย้งเนื่องจากขาดความ ยุติธรรม เป็นปัญหาหลักเลยก็ว่าได้  ๕. คุณค่าหรือค่านิยม (Value Conflict) ได้แก่ ศาสนา โลกทัศน์หรือความเชื่อต่างกัน การให้ความสำคัญที่ต่างกัน เกณฑ์ประเมินต่างกัน ภูมิหลังทางวัฒนธรรมต่างกัน ภูมิหลังส่วนบุคคลต่างกัน พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ต่างกัน  




“สมุทัย”นี้พระพุทธองค์กำหนดกิจไว้ว่าจะต้องละ



๓. นิโรธ คือความดับทุกข์ (ทุกฺขนิโรธ)  เป็นภาวะที่ยุติความขัดแย้ง เป็นบรมสุข  โดยมีคำว่า “สันติ” (Peace)  เป็นไวพจน์ ซึ่งพุทธพจน์รับรองในธรรมบทคือ  นตฺถิสนฺติ ปรํสุขํ” แปลความว่า “สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี”  นับเป็นเป้าหมายหรือจุดสุดยอดของ ดังนั้น “สันติ” คือ ไม่มีความขัดแย้ง เป็นความสุขสงบ เป็นสุขภายใน  ส่วนคำว่า “สุขา สงฺฆสฺสสามคฺคี” ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะนำสุขมาให้ เป็นความสุขภายนอก เพราะต้องเกี่ยวเนื่องกับคนอื่น   “สันติ” นั้นมีความหมายทั้งในเชิงลบ คือ สภาวะที่ไม่มีสงครามและความขัดแย้ง และเชิงบวก คือสภาวะที่มีความรัก สามัคคี และความยุติธรรม และมี ๒ ลักษณะคือ “อัชฌัตติกสันติ” ความสงบภายใน(Inner Peace)  และ “พาหิรสันติ” ความสงบภายนอก(Outer Peace)  โดยขยายกว้างออกไปอีก ๓ ระดับ คือ ๑.“สันติภาพภายในตนเอง” (to live in harmony with oneself) อยู่อย่างกลมกลืนกับสันติภายในจิตใจของตนเอง เป็นระดับตนเอง  ๒.สันติภาพกับคนอื่น (with others) อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ เป็นระดับผู้อื่น  และ ๓.สันติภาพกับธรรมชาติ (with the natural environment) อยู่ร่วมกันอย่างสันติกับธรรมชาติได้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ยสฺสรุกขสฺสฉายาย นิสีเทยฺยสเยยฺย วา น ตสฺสสาขํภญฺเชยฺยมิตฺตทุฏฺโฐหิปาปโก”  แปลความว่า “บุคคลนั่งหรือนอนในร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักก้านรานกิ่งและใบของต้นไม้นั้น เพราะว่าผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม” ทรงย้ำเตือนเสมอว่า “จงเป็นมิตรกับธรรมชาติ” อย่างไรก็ตามหากความสงบด้วยการกดเอาไว้ยังไม่ถือว่าเป็นสันติภาพ 



ขณะที่ ผศ.รท.ดร.บรรจบ  บรรณรุจิ  ได้เสนอว่า เจ้าชายสิทธัตถะแห่งแคว้นสักกะ กรุงกบิลพัสดุ์เป็นคนแรกที่พูดคำว่า “สันติภาพ” ทรงออกบวชเดินทางสู่สันติ ดังคำว่า “สนฺติวรปทํ ปริเยสมาโน” แปลคว่า“ทางสู่สันติอันประเสริฐ”  โดยพบสันติในเดือนวันเพ็ญวิสาขะ เรียกว่า “นิพพาน”  หลังจากนั้นเดินทางออกสอนสันติภาพ ๔๕ พรรษา   พระธรรมทำให้เกิดพระพุทธเจ้า นั่นหมายความว่า ต้องเดินตามมรรคมีองค์ ๘  เป็นเส้นทางสู่การเป็นพระพุทธเจ้า     จึงเกิดคำพูดว่า “สทฺธมฺโม  ครุกาตพฺโพ”  ต้องเคารพสัทธรรมที่แท้จริง แล้วพระพุทธเจ้าก็นำธรรมมาสั่งสอน โดยแบ่งออกเป็นพระธรรมและพระวินัย เช่น อริยสัจ ปฏิจสมุปบาท ซึ่งพระพุทธเจ้าทิ้งกองทัพทางโลก แต่มีกองทัพทางธรรม เพื่อบอกว่ายิ่งใหญ่มากกว่ากองทัพทางโลกซึ่งมีแต่ความรุนแรง แต่กองทัพทางธรรมมีแต่สันติสุข ฉะนั้นกองทัพธรรมจึงยิ่งใหญ่กว่ากองทัพสงคราม 



ด้าน “โยฮันกัลตุง”ได้เสนอนำเสนอสันติภาพเชิงลบ หมายถึง “การปลอดพ้นจากความรุนแรงทางตรง”   เช่น ความรุนแรงต่อบุคคล  คนกำลังตีกัน เราไปห้ามอย่าตีกันเลย  ส่วนสันติเชิงบวก หมายถึง “การปลอดพ้นจากความรุนแรงเชิงโครงสร้าง”  เช่น ความยากจน การเหยียดผิว  ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทางสังคม  ที่คนโกรธกันเพราะอะไร  เพราะไม่ยุติธรรม  เราจะทำอย่างไรให้เกิดความพอใจ จึงมีคำว่า “สงครามเกิดขึ้นที่จิตใจของมนุษย์ สันติภาพจึงต้องเริ่มจากจิตใจของมนุษย์เช่นกัน” 


“นิโรธ”นี้พระพุทธองค์กำหนดกิจไว้ว่าจะต้องทำให้แจ้ง



๔. มรรค คือ หนทางแห่งการดับทุกข์ ในพระพุทธศาสนาไม่มีคำว่า “สันติวิธี” แต่การจะพ้นทุกข์หรือเกิด “สันติภาพ” ได้นั้นจะต้องเริ่มจากใจเป็นอันดับแรก ซึ่งก็ตรงกับธรรมนูญของยูเนสโกที่ว่า “...Since wars begin in the minds of men, it is in the minds of men that the defenses of peace must be constructed.” แปลความว่า “...เนื่องจากสงครามเริ่มต้นที่ใจของมนุษย์ ดังนั้นปราการแห่งสันติภาพ จึงต้องสร้างที่ใจของมนุษย์ที่แหละ...” ดังนั้นหากจะสร้างสันติภาพต้องสร้างที่ใจของมนุษย์  ตรงกับคำสอนของพระพุทธศาสนาที่ว่า “มโน ปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโน เสฏฺฐา มโน มยา” แปลว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้ามีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ” โดยดำเนินตามมรรคมีองค์ ๘ เท่านั้น  



ขณะที่แนวคิดด้านสันติวิธี พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ได้แบ่งออกเป็น  ๓ สำนักคือ ๑. สันติวิธีในฐานะเป็นเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง (Peaceful Means) โดยมีวิธีการเช่น การเจรจากันเอง (Negotiation) คือ การใช้วิธีการพูดคุยกันก่อนอาจจะเอาจุดยืนเป็นตัวตั้งหรือจะเอาประโยชน์เป็นตั้งตั้งโดยมีเป้าหมายคือชนะทั้งคู่  การไกล่เกลี่ย  (Mediation) มีเป้าหมายคือชนะทั้งคู่  อนุญาโตตุลาการ (Arbitration)   มีแพ้มีชนะ    กระบวนการทางศาล (Court)  และการหลีกเลี่ยง (Avoidance)


๒. สันติวิธีในฐานะเป็นฐานของการเรียกร้องความต้องการโดยปราศจากความรุนแรง เช่น การเรียกร้องสิทธิ  เสรีภาพ ความยุติธรรม (Civil Disobedience) การดื้อแพ่งหรืออริยขัดขืนคือการแสดงสัญลักษณ์ผ่านคำพูด(Demonstration) การอดข้าวอย่าง “มหาตมะ คานธี” การเดินขบวน (March) และม็อบ(Mob)  คุมไม่อยู่เพื่อให้ผู้มีอำนาจได้ยิน เสียงของคน มาเพื่อให้คนได้ยิน ๓.สันติวิธีในฐานะเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต (Pacifism)  อย่างการกินเจ การใช้หลักใช้อหิงสาของ “มหาตมะ คานธี” หรือการสร้างสันติภายในให้เป็นวิถีชีวิตตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน 


สำหรับกระบวนการของสันติวิธีนั้น “โยฮันกัลตุง”ได้เสนอเป็นลักษณะ ๓ เหลี่ยมคือ ๑.การทำให้เกิดขึ้น ๒.การสร้างสรรค์ และ ๓.การรักษา พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ได้เสนอคือ ๑.การป้องกัน (Prevention)   ๒.การเปลี่ยนผ่าน (Transformation)   และ ๓.การแก้ไข   (Resolution)  ขณะที่ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ได้เสนอคือ ๑.การป้องกัน ๒.การแก้ไข  และ ๓. การเยียวยา ซึ่งก็ตรงกับหลักปธาน ๔  ตามที่“พระพรหมบัณฑิต” และ “พระศรีคัมภีรญาณ”  ได้นำเสนอ โดยมีวิธีการตามที่พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส  ได้เสนอหลัก ๓ แยกคือ ๑.แยกอารมณ์ออกจากคน  ๒.แยกคนออกจากปัญหา  และ ๓. แยกปัญหาออกจากการแก้ไข(วิธีการ) เพราะพระพุทธศาสนาเป็นแบบวิภัชชวาท (Segmentation) ซึ่งพระพุทธเจ้าให้จัดการกับตัณหาไม่ได้ให้จัดการกับตัวปัญหา  อย่างไรก็ตาม “โคทม อาริยา” ได้เสนอว่า “การจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง รุนแรงและสงครามได้นั้น จึงต้องแก้ที่ทัศนคติ  สร้างสันติวัฒนธรรม คือการปลอดพ้นจากความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมที่สันติวัฒนธรรม 


“มรรค”นี้พระพุทธองค์กำหนดกิจไว้ว่าจะต้องทำให้เกิดขึ้นให้มาก



เมื่อมีความรู้แบบนี้ก็จะทำให้สามารถบริหารจัดการควาขัดแย้ง แตกแยกอย่างไร ด้วยสันติวิธีอย่างไร หากไม่รู้ก็พายอยู่ในอ่างแล


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"โคกหนองนาโมเดล" จากจุดเริ่มต้นชุมชนแห่งความเอื้ออาทร ผ่านหลักธรรมแห่งการให้

โครงการ "โคกหนองนาโมเดล" เป็นตัวอย่างที่สำคัญในการพัฒนาชุมชนผ่านหลักธรรมและแนวคิดของการให้ ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างความยั่งยืนในชุม...