วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2566

โฆษกรัฐบาลเผย "BlackRock" ตอบรับร่วมมือธุรกิจ BCG ในไทย สร้างเม็ดเงินกว่า 1 ล้านล้านบาท



โฆษกรัฐบาลเผย "BlackRock" ตอบรับร่วมมือธุรกิจ BCG ในไทย คาดภายใน 5 ปีข้างหน้า สร้างเม็ดเงินให้ประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาท ขณะที่การพบ สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน (USABC) ที่จะเกิดขึ้น จะสามารถเจาะตลาดอาเซียนได้กว่า 700 ล้านคน พร้อมผลักดัน Direct Investment มหาศาล

เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566  (ตามเวลาท้องถิ่น นครนิวยอร์ก) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานการปฏิบัติภารกิจของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในช่วงระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า การพบหารือกับนาย Larry Fink CEO กลุ่มบริษัท BlackRock มีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง ซึ่ง BlackRock มีศักยภาพสูงมากที่จะลงทุนในไทย โดยปัจจุบันแนวโน้มของธุรกิจทั่วโลกเน้นแนวทางด้านความยั่งยืน เช่น การใช้พลังงานสะอาด การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การแก้ไขปัญหาสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ทิศทางในรูปแบบนี้ เป็นทิศทางของการลงทุนและเศรษฐกิจทั่วโลก รวมไปถึงประเด็นเรื่องโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) ประเทศไทยเริ่มดำเนินการมาหลายปีแล้ว โดยปัจจุบันมูลค่าธุรกิจ BCG ในไทย สูงถึง 3.4 ล้านล้านบาท และด้วยศักยภาพของไทย ซึ่งคาดว่าไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า จะมีมูลค่าถึง 4.4 ล้านล้านบาท การหันเหทิศทางทางการเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มของโลก เป็นยุทธศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

โดย BlackRock เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุน เป็นกองทุนขนาดใหญ่ เบอร์หนึ่งของโลก ซึ่งรายงานล่าสุดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 กองทุนขยายขึ้น เป็นจำนวน 9.43 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 310 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 100 เท่าของงบประมาณรายจ่ายประจำปีของไทย ทั้งนี้ BlackRock มีนโยบายที่ชัดเจน ที่จะส่งเสริมการลงทุนในด้านที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน ดังนั้นบริษัทจะส่งเสริม การลงทุนเกี่ยวกับ BCG ซึ่งผลการหารือในครั้งนี้ ออกมาชัดเจนว่า BlackRock ให้ความสนใจที่จะลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศไทย และไม่ใช่เพียงสนใจแค่กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ แต่สนใจกลุ่มธุรกิจ SME ด้วย 

@siampongnews ผ้ามุ้ง#ผ้ามุ้งกลดพระธุดงค์ ♬ Ready - Official Sound Studio

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมด้าน BCG มีความแตกต่างจากธุรกิจในรูปแบบเดิมมาก คนทำงานจะได้รับการจ้างงานในอัตราเงินเดือนที่สูง เนื่องจากด้านที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน จะอาศัยแรงงานที่มีทักษะ ส่งผลให้การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเป็นล้านตำแหน่ง และที่สำคัญคือ การใช้ทรัพยากรจะน้อยลงเกินครึ่ง ซึ่ง BlackRock แสดงท่าทีที่ชัดเจนมากว่า ในเร็ว ๆ นี้ จะเข้ามาลงทุนในไทย ถือเป็นข่าวดีของประเทศและพี่น้องชาวไทย ถือเป็นความสำเร็จจากก้าวแรกที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนต่างประเทศ และสามารถเจรจากับภาคธุรกิจกองทุนอันดับ 1 ของโลกที่สนับสนุนธุรกิจอย่างยั่งยืนได้

สำหรับภาคธุรกิจในประเทศไทย มีบริษัทที่เน้นในด้านธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ BCG ในปัจจุบันกว่า 100 บริษัท เป็นทิศทาง Mega trend ที่เงินทุนจะไหล่บ่าเข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจรูปแบบนี้อยู่แล้ว จะได้เรื่องการเพิ่มทุน สามารถขยายงานได้ สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดย BlackRock ตอบรับและเชื่อมั่นว่า เงินทุนที่จะส่งเสริมในด้านธุรกิจอย่างยั่งยืนจะคุ้มค่า ยกตัวอย่างเช่น การผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานลมผ่านการใช้กังหันลมของไทย เป็นพลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบันยังมีไม่มากนัก BlackRock ก็พร้อมที่จะให้ทุนสนับสนุน รวมไปถึง โซลาร์เซลล์ ขยะรีไซเคิล เป็นต้น 

ด้านคำแนะนำสำหรับภาคธุรกิจและนักลงทุนของไทย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ต้องเสริมให้ภาคธุรกิจแข็งแรงขึ้น และเมื่อตลาดขยาย ผู้เล่นและทิศทางต่าง ๆ จะตามมา ทั้งนี้ จะเป็นการลงทุนในลักษณะให้กู้ หรือเป็นแต่ละ Project ซึ่งมีหลายรูปแบบที่จะสนับสนุน หรือสามารถใช้คำว่ามีสถาปัตยกรรมใหม่ทางการเงินได้ 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทในไทยกว่า 100 บริษัท ที่กล่าวข้างต้น มีการลงทุนด้านธุรกิจอย่างยั่งยืนกว่า 12,500 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และภายใน 5 ปีข้างหน้า มีเป้าหมายที่ 45,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะสามารถเพิ่มการลงทุนในไทยได้กว่า 37,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นมูลค่าเกินกว่า 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นเม็ดเงินมหาศาล

ส่วนประเด็นการเข้าพบกับสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน (USABC) ที่จะเกิดขึ้นต่อไป จะเป็นโอกาสที่ดีในการขยายการลงทุนในไทย ได้พบปะร่วมกับประธานสภาธุรกิจสหรัฐฯ นักธุรกิจสหรัฐฯ ที่ล้วนเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ย่อมแสวงหาโอกาส หาตลาดที่มีในอนาคต ตลาดที่มีกำลังซื้อ ซึ่งประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนชั้นดีที่สามารถเจาะตลาดอาเซียนได้กว่า 600 – 700 ล้านคน เชื่อมั่นว่านักลงทุนต้องสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอย่างแน่นอน โดยในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Direct Investment) ยังมีน้อย ซึ่งจากนี้ไป รัฐบาลจะเร่งผลักดันอย่างต่อเนื่อง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กกต.แจงขั้นตอนสมัครรับเลือกเป็น สว. พร้อมขอรับใบสมัครได้ตั้งแต่ 10 พ.ค.นี้

  เมื่อวันที่  8 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง แจ้งว่าผู้ประสงค์จะสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา สามารถขอรับใบสมัครได้ตั้งแต่ว...