แนวคิดเรื่อง “รัฐพันลึก” (Deep State) ได้รับการหยิบยกขึ้นมาศึกษาอย่างกว้างขวางในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่การเมืองยังคงถูกครอบงำด้วยเครือข่ายอำนาจนอกระบบ แม้รัฐธรรมนูญและกลไกประชาธิปไตยจะดำรงอยู่ แต่ “Deep State” กลับแทรกซึมและกำหนดทิศทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอยู่เบื้องหลัง
ดร.สุวิทย์ เมฆินทรีย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และอดีตรัฐมนตรี ได้เสนอการจัดหมวดหมู่ 5 โฉมหน้า Deep State ซึ่งสะท้อนโครงสร้างอำนาจที่พบในหลายประเทศ ได้แก่ (1) รัฐทหาร–ความมั่นคง, (2) รัฐทุนผูกขาด–พวกพ้อง, (3) รัฐศาสนา–อุดมการณ์, (4) รัฐข้าราชการ–เทคโนแครต และ (5) รัฐถูกครอบงำโดยต่างชาติ
สำหรับประเทศไทย ลักษณะเฉพาะคือการเป็น Hybrid/Networked Deep State หรือโครงสร้างพันลึกแบบผสม ที่ซ้อนหลายชั้นและเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน ทำให้ “การปฏิรูป” ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการใดมาตรการหนึ่ง แต่ต้องใช้ยุทธศาสตร์เชิงระบบ (systemic strategy) ที่ค่อยเป็นค่อยไป
1. 5 โฉมหน้า Deep State: บริบทโลก
-
รัฐทหาร–ความมั่นคง (Military–Security Complex)
-
ใช้อำนาจกองทัพและข่าวกรองครอบงำการเมือง
-
ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ประสบกับวงจรนี้มาอย่างต่อเนื่อง
-
-
รัฐทุนผูกขาด–พวกพ้อง (Crony–Oligarchic State)
-
เศรษฐกิจถูกผูกขาดโดยทุนใหญ่และกลุ่มการเมือง
-
ส่งผลให้ SMEs และนวัตกรรมใหม่ไม่เติบโต
-
-
รัฐศาสนา–อุดมการณ์ (Theocratic–Ideological State)
-
ใช้อำนาจทางศาสนาหรืออุดมการณ์ปิดกั้นการตรวจสอบ
-
แม้ไทยจะไม่รุนแรงเท่าประเทศตะวันออกกลาง แต่แนวโน้มการใช้ศาสนา–อุดมการณ์ทางการเมืองยังคงมีอยู่
-
-
รัฐข้าราชการ–เทคโนแครต (Bureaucratic–Technocrat State)
-
การรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ข้าราชการประจำ
-
แม้สร้างเสถียรภาพ แต่ขาดความยืดหยุ่นในการแข่งขันระดับโลก
-
-
รัฐถูกครอบงำโดยต่างชาติ (Foreign-Influenced State)
-
นโยบายบางส่วนถูกกำหนดจากมหาอำนาจหรือทุนข้ามชาติ
-
ไทยแม้ไม่รุนแรง แต่ก็เผชิญแรงกดดันทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก
-
2. สถานการณ์ไทย: Hybrid Deep State
ประเทศไทยเผชิญ “Deep State แบบผสม” โดยประกอบด้วย
-
กองทัพและความมั่นคง → สืบทอดอำนาจผ่านรัฐประหาร
-
ทุนใหญ่และกลุ่มผูกขาด → ครอบงำเศรษฐกิจและนโยบายรัฐ
-
ระบบราชการรวมศูนย์ → ชะลอการปรับตัวของประเทศ
ความซับซ้อนของไทย
-
หลายขั้วอำนาจคู่ขนาน ไม่ได้รวมศูนย์ที่เดียว
-
โครงสร้างพันลึกเชื่อมโยงทั้งการเมือง ศาล สภา ทุน และราชการ
-
การเปลี่ยนแปลงจึงต้องใช้ “ระยะยาว” ไม่ใช่ “ปฏิวัติสั้น”
3. ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของไทย
-
ฝ่ายต้านกระจัดกระจาย → ไม่สามารถรวมพลังได้ยาวนาน
-
Reform Whiplash → รื้อโครงสร้างหนึ่ง แต่อีกด้านโต้กลับ
-
สังคมเบื่อหน่าย → เพราะการเปลี่ยนแปลงใช้เวลานาน
-
การปรับขั้วของกลุ่มอำนาจ → ทำให้การปฏิรูปสะดุด
4. บทเรียนจากต่างประเทศ
ประเทศที่สามารถรื้อ Deep State แบบผสมได้ เช่น สเปน ชิลี เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ไต้หวัน และโคลอมเบีย มีปัจจัยร่วมคือ
-
ผู้นำเชื่อมกลางที่ทั้งฝ่ายเก่า–ใหม่ไว้วางใจ
-
เส้นถอยที่ชัดเจนให้โครงสร้างเดิมลดแรงต้าน
-
เสริมสถาบันตรวจสอบ (ศาล สื่อ กลไกอิสระ)
-
พลังประชาชนและแรงกดดันนานาชาติ
-
เศรษฐกิจไม่หยุดชะงักในระหว่างการปฏิรูป
5. ทางรอดของไทย: Playbook & Roadmap
แนวทางทีละชั้น (Layered Transition)
-
สร้างความโปร่งใสเชิงโครงสร้าง → e-Procurement, การเงินการเมืองเปิดเผย
-
ปฏิรูประบบความมั่นคง → แยกกองทัพออกจากการเมือง ลดงบลับ
-
กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น → งบประมาณและการตัดสินใจระดับพื้นที่
-
ล็อกอินมาตรฐานสากล → ใช้กรอบอาเซียน–OECD เป็นกลไกกันถอย
-
เปลี่ยนเรื่องเล่า → จาก “รัฐครอบงำ” สู่ “รัฐยึดหลักการ”
Roadmap 5–7 ปี
-
ระยะที่ 1: สร้างเสถียรภาพ + ข้อตกลงใหญ่ (Grand Bargain)
-
ระยะที่ 2: ปฏิรูประบบสถาบันและการกระจายอำนาจ
-
ระยะที่ 3: ปฏิรูปเศรษฐกิจ ลดผูกขาด เปิดเสรีแข่งขัน
-
ระยะที่ 4: เปลี่ยนตัวชี้วัดใหม่ เน้นผลลัพธ์ที่ประชาชนสัมผัสได้
-
ระยะที่ 5: ผูกพันกับมาตรฐานภูมิภาค–นานาชาติ
บทสรุป
ประเทศไทยเผชิญกับ Deep State ที่ซับซ้อนกว่าหลายประเทศ เนื่องจากมีหลายชั้นอำนาจผสมผสาน การปฏิรูปจึงต้องใช้ทั้ง Grand Bargain เพื่อสร้างแรงถอย และ Hard Constraint ผ่านมาตรฐานสากลและกลไกดิจิทัลเพื่อกันไม่ให้ถอยหลัง
“ทางรอด” ของไทยตามมุมมองของ ดร.สุวิทย์ เมฆินทรีย์ ไม่ใช่การปฏิวัติแบบรวดเร็ว แต่เป็น การเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นขั้นตอน ภายใต้แรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอก เพื่อคลี่คลายกับดักพันลึกและนำประเทศสู่เส้นทางพัฒนาอย่างยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น