วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์พรรคการเมืองไทยตามแนวคิดของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์

 บทนำ

การเมืองไทยร่วมสมัยเผชิญกับภาวะ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ทั้งจากปัจจัยภายในและแรงกดดันจากโลกภายนอก ขณะเดียวกันโครงสร้างทางการเมืองยังคงติดอยู่ในกับดักของ Deep State และ Political Myopia ซึ่งหมายถึงการเมืองระยะสั้นที่มุ่งเน้นการเอาตัวรอด มากกว่าการสร้างอนาคตของชาติ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้นำเสนอกรอบวิเคราะห์ที่น่าสนใจผ่านแนวคิด “จารีต × ปฏิรูป” (Tradition × Reform) เพื่อชี้ให้เห็นว่า พรรคการเมืองไทยยังไม่สามารถพาประเทศไปสู่ The Second Great Reform ได้อย่างแท้จริง

กรอบแนวคิด “จารีต × ปฏิรูป”

ดร.สุวิทย์ เสนอว่า การเมืองไทยต้องถูกมองผ่านสองแกน คือ ระดับการยึดโยงกับจารีต และ ระดับการขับเคลื่อนการปฏิรูป ซึ่งนำไปสู่ 4 รูปแบบการเมือง ได้แก่

  1. จารีตสูง × ปฏิรูปสูง → Adaptive Reform
    การเมืองที่ผสานพลังของจารีตและการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้าง “Principled State” ที่ตั้งอยู่บนหลักการและคุณค่า

  2. จารีตสูง × ปฏิรูปต่ำ → Preservation Trap
    จารีตถูกใช้เป็นเกราะป้องกันเพื่อคงสภาพเดิม และมักถูก Deep State นำมาใช้เป็นเครื่องมือรักษาอำนาจ

  3. จารีตต่ำ × ปฏิรูปสูง → Disruptive Reform
    การปฏิรูปเชิงรุกที่สร้างแรงกระเพื่อม แต่เสี่ยงสร้างความแตกแยกหากไม่เชื่อมโยงกับรากฐานสังคม

  4. จารีตต่ำ × ปฏิรูปต่ำ → Survival Politics
    การเมืองเพื่อเอาตัวรอด มุ่งการดีลระยะสั้น ขาดวิสัยทัศน์เชิงโครงสร้าง

การจัดวางพรรคการเมืองไทย

เมื่อนำพรรคการเมืองไทยมาเทียบกับกรอบดังกล่าว จะเห็นได้ว่า พรรคส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ใน Preservation Trap และ Survival Politics มากกว่าที่จะเดินหน้าไปสู่ Adaptive Reform

  • พรรคการเมืองที่เคยมีบทบาทเชิงปฏิรูปในอดีต หลายพรรคถอยกลับสู่การยึดจารีตเพื่อความอยู่รอด ขาดพลังการปฏิรูปอย่างแท้จริง

  • พรรคที่เน้นนโยบายเชิงปฏิรูป แต่ไม่เชื่อมโยงกับรากฐานจารีต มักถูกต่อต้านอย่างรุนแรง และเผชิญกับความเสี่ยงสูงทางการเมือง

  • ขณะเดียวกัน พรรคจำนวนไม่น้อยยังวนเวียนกับการเมืองระยะสั้น มุ่งดีลทางอำนาจโดยไม่สร้างคุณค่าระยะยาว

ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนว่า การเมืองไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างสมดุลระหว่าง ทุนทางสังคมจากจารีต และ พลังการเปลี่ยนแปลงจากการปฏิรูป ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ช่องว่างเชิงโครงสร้าง: Adaptive Reform

สิ่งที่ยังไม่ปรากฏชัดเจนในเวทีการเมืองไทย คือพรรคที่ยืนหยัดบน จารีตสูง × ปฏิรูปสูง หรือ Adaptive Reform อย่างแท้จริง พรรคเช่นนี้จะต้องสามารถใช้ “จารีต” เป็นทุนทางวัฒนธรรมและสังคม ในขณะเดียวกันก็ขับเคลื่อน “ปฏิรูป” เพื่อตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ หากช่องว่างนี้ยังคงอยู่ การเมืองไทยก็จะติดอยู่ในเงาของ Deep State และพลาดโอกาสก้าวสู่ Principled State

บทสรุป

เมื่อพิจารณาภาพรวม พรรคการเมืองไทยยังคงวนเวียนอยู่กับ เกมการเมืองแบบเอาตัวรอด (Survival Politics) และการรักษาสถานะทางอำนาจ (Preservation Trap) มากกว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง การปฏิรูปการเมืองไทยจึงยังไม่สามารถหลุดพ้นจาก Political Myopia – การเมืองที่มองเพียงระยะสั้น

ดังนั้น แนวทางเดียวที่จะพาประเทศก้าวไปข้างหน้า คือการสร้างพลังทางการเมืองใหม่ที่มี Big Picture × Long View พร้อมทั้งกล้าผสาน จารีตกับปฏิรูป เพื่อผลักดัน The Second Great Reform และนำพาประเทศสู่ Principled State ที่ตั้งอยู่บนหลักการ ไม่ใช่อำนาจที่ไร้ทิศทาง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...