วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" ชี้กรณี ส.ส.พรรคประชาชนพาดพิงพระพุทธศาสนา อาจส่งผลกระทบอนาคตทางการเมืองแนะปรับท่าทีใหม่


เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักข่าวอาวุโสและนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธสันติวิธีและการสื่อสารมวลชน ได้ให้ความเห็นเชิงวิชาการต่อกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาชนอภิปรายพาดพิงพระพุทธศาสนา ซึ่งกำลังเป็นที่ถกเถียงในสังคม โดยมองว่าเหตุการณ์นี้อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของพรรคทั้งในเชิงการเมือง สังคม และภาพลักษณ์

ดร.สำราญ อธิบายว่า พระพุทธศาสนามีสถานะสำคัญต่อสังคมไทยในฐานะรากฐานทางศีลธรรมและวัฒนธรรม การอภิปรายที่ถูกตีความว่าไม่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่ง โดยในมิติทางการเมือง พรรคประชาชนอาจเผชิญแรงเสียดทานจากคู่แข่งที่หยิบประเด็นนี้มาโจมตี พร้อมทั้งแรงกดดันจากสังคมและกลุ่มศาสนิกชนที่ยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจส่งผลต่อคะแนนเสียงของพรรคในอนาคต

ในด้านสังคม เหตุการณ์ดังกล่าวอาจก่อให้เกิดแรงต้านจากองค์กรทางศาสนา พระสงฆ์ และเครือข่ายพุทธเคร่งครัดที่มองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติศาสนา ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดการแบ่งขั้วระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนเสรีภาพในการอภิปรายกับฝ่ายที่เห็นว่าศาสนาไม่ควรถูกแตะต้องทางการเมือง

สำหรับมิติด้านภาพลักษณ์ ดร.สำราญชี้ว่า พรรคประชาชนกำลังเผชิญโจทย์ใหญ่ 3 ด้าน ได้แก่ ความน่าเชื่อถือทางศีลธรรมที่อาจถูกตั้งคำถาม ความเป็นเอกภาพภายในพรรคที่อาจสั่นคลอน และแนวโน้มในระยะยาวที่เสี่ยงต่อการสูญเสียคะแนนนิยมจากประชาชนกลุ่มใหญ่ แม้อาจสร้างฐานเสียงใหม่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนการวิพากษ์ศาสนาได้ก็ตาม

ทั้งนี้ ดร.สำราญเสนอแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ว่า พรรคประชาชนควรเร่งสื่อสารเชิงสร้างสรรค์เพื่อยืนยันว่าการอภิปรายมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนา มิใช่การลบหลู่ พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับองค์กรพุทธ และกำหนดจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและการเมือง

“กรณีนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญของพรรคประชาชน หากจัดการไม่ดีอาจกระทบความน่าเชื่อถือในระยะสั้น แต่หากพรรคสามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ก็อาจสร้างฐานเสียงใหม่และปรับภาพลักษณ์ให้สอดคล้องกับสังคมไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่าน” ดร.สำราญ กล่าวทิ้งท้าย

วิเคราะห์ผลกระทบต่อพรรคประชาชนในอนาคตจากกรณี ส.ส. ของพรรคอภิปรายพาดพิงพระพุทธศาสนา

บทนำ

ศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา มีสถานะสำคัญต่อสังคมไทยในฐานะรากฐานทางวัฒนธรรม ศีลธรรม และสถาบันหลักที่รัฐธรรมนูญไทยหลายฉบับให้การรับรอง การเมืองไทยจึงมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งเมื่อเกิดการพาดพิงหรือวิพากษ์เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในเวทีสาธารณะอย่างรัฐสภา
กรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคประชาชนได้อภิปรายพาดพิงพระพุทธศาสนา ไม่เพียงก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม หากยังอาจส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและอนาคตทางการเมืองของพรรคโดยรวม บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ผลกระทบเชิงการเมือง สังคม และเชิงภาพลักษณ์ต่อพรรคประชาชน รวมถึงประเมินแนวโน้มในอนาคต

1. มิติทางการเมือง

การเมืองไทยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสถาบันศาสนา พรรคการเมืองใดที่ถูกมองว่าลบหลู่หรือพาดพิงในเชิงไม่เหมาะสม ย่อมเสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและกลุ่มอนุรักษนิยมทางศาสนา กรณี ส.ส. ของพรรคประชาชนจึงอาจสร้างแรงสั่นสะเทือนสองประการ ได้แก่
1.1 แรงเสียดทานจากคู่แข่งทางการเมือง ที่สามารถนำประเด็นนี้มาใช้โจมตีเพื่อลดความน่าเชื่อถือของพรรค โดยโยงไปสู่ข้อกล่าวหาว่า “ไม่เคารพศาสนา” หรือ “ขัดต่อค่านิยมของสังคมไทย”
1.2 แรงกดดันภายในสภาและในกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งอาจทำให้พรรคเสียคะแนนเสียงจากกลุ่มผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความผูกพันกับศาสนามากกว่าพื้นที่เมืองใหญ่

2. มิติทางสังคม

พระพุทธศาสนาถือเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคนส่วนใหญ่ในประเทศ การอภิปรายที่ถูกตีความว่าเป็นการพาดพิงเชิงลบต่อศาสนา ย่อมก่อให้เกิดกระแสสังคมทั้งในรูปแบบ

  • แรงต้านจากพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรทางศาสนา พระสงฆ์ และเครือข่ายพุทธเคร่งครัด ซึ่งอาจออกมาเคลื่อนไหวหรือกดดันให้พรรคประชาชนต้องแสดงความรับผิดชอบ

  • การแบ่งขั้วทางสังคม ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่า ส.ส. มีสิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์เพื่อการตรวจสอบ กับฝ่ายที่มองว่าศาสนาต้องไม่ถูกแตะต้องทางการเมือง ปรากฏการณ์นี้อาจทำให้พรรคประชาชนถูกวางไว้ในฐานะ “ตัวแทนฝ่ายเสรีนิยมใหม่” ที่ขัดแย้งกับค่านิยมดั้งเดิมของสังคม

3. มิติทางภาพลักษณ์และอนาคตพรรค

ในเชิงภาพลักษณ์ พรรคประชาชนอาจเผชิญความท้าทาย 3 ด้านคือ

  • ความน่าเชื่อถือทางศีลธรรม: พรรคการเมืองที่ถูกมองว่าไม่ให้เกียรติศาสนา อาจเสียภาพลักษณ์ว่า “ขาดคุณธรรม” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการยอมรับของประชาชน

  • ความเป็นเอกภาพภายในพรรค: หากพรรคไม่สามารถจัดการหรือกำหนดท่าทีที่ชัดเจน อาจเกิดความแตกแยกภายในระหว่างกลุ่มที่ต้องการปกป้องเสรีภาพการแสดงออกกับกลุ่มที่กังวลต่อผลกระทบทางการเมือง

  • แนวโน้มระยะยาว: หากพรรคเลือกที่จะรักษาจุดยืนเสรีนิยมโดยไม่ถอย อาจสร้างฐานเสียงใหม่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ศาสนาเปิดรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เสี่ยงต่อการสูญเสียคะแนนเสียงจากประชาชนกลุ่มใหญ่ที่ยึดโยงกับพระพุทธศาสนา

4. ทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์

เพื่อบรรเทาผลกระทบ พรรคประชาชนควรพิจารณาแนวทางดังต่อไปนี้

  • การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์: ยืนยันว่าการอภิปรายมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศาสนา มิใช่ลบหลู่

  • การสร้างความร่วมมือกับองค์กรพุทธ: เพื่อลดความขัดแย้งและสร้างภาพลักษณ์ว่าพรรคยังคงให้ความเคารพต่อศาสนา

  • การวางจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน: หากพรรคต้องการคงอัตลักษณ์เสรีนิยม จำเป็นต้องสื่อสารกับประชาชนว่าศาสนากับการเมืองควรสัมพันธ์กันอย่างไรในโลกสมัยใหม่

สรุป

กรณีการอภิปรายพาดพิงพระพุทธศาสนาของ ส.ส. พรรคประชาชน เป็นบททดสอบสำคัญต่อความสามารถของพรรคในการจัดการวิกฤตทางการเมืองและสังคม ในระยะสั้น พรรคอาจเผชิญกระแสต้านและเสียคะแนนนิยมจากกลุ่มอนุรักษนิยม แต่ในระยะยาว หากพรรคสามารถวางยุทธศาสตร์การสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ได้ ก็อาจเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างฐานเสียงใหม่ที่ต้องการให้ศาสนามีพื้นที่สำหรับการถกเถียงและพัฒนา
ดังนั้น อนาคตของพรรคประชาชนขึ้นอยู่กับความสามารถในการรักษาสมดุลระหว่าง “การเคารพค่านิยมทางศาสนา” และ “การธำรงสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์” ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญของการเมืองไทยในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...