วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์เอไอกับพุทธศาสนาในมุมมองสมภาร พรมทา

 บทนำ

ในยุคปัจจุบัน ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ และที่สำคัญคือด้านจริยธรรมและศาสนา งานศึกษาร่วมสมัยจำนวนมากพยายามตั้งคำถามว่า AI ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อทำงานและตัดสินใจแทนมนุษย์ จะมีผลกระทบต่อโครงสร้างความคิดทางศีลธรรมและศาสนาอย่างไร โดยเฉพาะในพุทธศาสนา ซึ่งให้ความสำคัญกับ กรรม (kamma) และ เจตนา (cetanā) ในฐานะเงื่อนไขหลักแห่งการกระทำทางศีลธรรม
สมภาร พรมทา นักวิชาการด้านพุทธปรัชญาชาวไทย ได้สะท้อนมุมมองต่อความสัมพันธ์ระหว่าง AI และพุทธศาสนาผ่านการสัมภาษณ์เชิงวิชาการ ซึ่งประเด็นดังกล่าวไม่เพียงชี้ให้เห็นขอบเขตและศักยภาพของ AI ในการทำงานเชิงจริยธรรม หากยังสะท้อนให้เห็นรากฐานการตีความคำสอนพุทธต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย

AI กับศีลธรรม: เครื่องมือหรือผู้ตัดสิน?

สมภารเสนอว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง AI และศีลธรรมสามารถจำแนกออกเป็นสองระดับ ได้แก่ (1) ศีลธรรมของผู้สร้าง AI และ (2) ศีลธรรมของ AI เอง อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า AI ในฐานะเครื่องจักร ไม่สามารถมีเจตนา ความรู้สึกตัว หรือจิตสำนึกเช่นมนุษย์ได้ ดังนั้นการกระทำของ AI จึงไม่ใช่การกระทำทางศีลธรรมอย่างแท้จริง แม้ว่าจะสามารถคำนวณผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับ “ประโยชน์นิยม” (utilitarianism) ได้ก็ตาม
ตรงกันข้าม พุทธศีลธรรมเน้นที่การบ่มเพาะผู้กระทำให้มีคุณธรรมภายใน การกระทำจึงถือว่าดีหรือชั่วตามเจตนาที่ตั้งมั่น มิใช่เพียงผลลัพธ์ภายนอก ดังนั้นการสั่งโปรแกรมหุ่นยนต์ว่า “ห้ามฆ่า” ย่อมไม่เทียบเท่ากับการที่มนุษย์รักษาศีล เพราะขาดเจตนารมณ์และความเข้าใจ

AI กับแนวคิดเรื่องกรรมและความรับผิดชอบ

ในมิติของกรรม สมภารยืนยันว่า AI ไม่มีกรรม เพราะขาดเจตนาและความรับผิดชอบทางจิตวิญญาณ เครื่องมือเช่น AI จึงเปรียบเสมือนมีดที่ “ไม่ดีไม่ชั่ว” แต่ผู้ใช้เป็นผู้ต้องรับผลกรรมของการกระทำตนเอง แม้ในกรณีที่มนุษย์ทำตามคำแนะนำของ AI ความรับผิดชอบยังคงอยู่กับมนุษย์ผู้เลือกเสมอ
ข้อเสนอนี้สะท้อนหลักการพุทธที่ว่า กรรมคือการกระทำด้วยเจตนา ดังนั้นไม่ว่ามนุษย์จะใช้ AI เป็นเครื่องมือใด ยังคงเป็นผู้กำหนดผลแห่งกรรมของตนเอง การมี AI ไม่ได้ทำให้กฎแห่งกรรมเปลี่ยนไป

AI กับกระบวนการบรรลุนิพพาน

สมภารแบ่งการบรรลุนิพพานออกเป็นสองขั้นตอนคือ (1) การเข้าใจความหมายของนิพพาน และ (2) การปฏิบัติธรรมจริงเพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้น เขายอมรับว่า AI อาจมีประโยชน์ในขั้นแรก เช่น การอธิบายหลักธรรม หรือทำหน้าที่คล้ายหนังสือ แต่ในขั้นที่สองซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติภายใน AI ไม่มีบทบาทแทนที่ได้ เพราะการบรรลุนิพพานเป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคล อาศัยความเพียรและเจตจำนงเสรีของมนุษย์

AI ในฐานะเครื่องมือทางการศึกษาและศีลธรรมพุทธ

สมภารมองว่า AI มีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือช่วยสอนหรืออธิบายศีลธรรมพุทธ โดยเฉพาะในการเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากและนำเสนอความรู้ แต่ก็มีความเสี่ยงหาก AI สร้างความเข้าใจผิด ผู้ใช้จึงต้องใช้ปัญญา (paññā) และสติ (sati) เป็นเครื่องกรองข้อมูลสำคัญ
เขาเสนอว่าสถาบันพุทธควรบูรณาการ AI ในการสอนและการเผยแผ่ธรรม แต่ต้องไม่ละเลยหลักการสำคัญว่า “มนุษย์เป็นนายของ AI ไม่ใช่ทาส”

สรุป

ในมุมมองของสมภาร พรมทา AI เป็นเพียงเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ไร้เจตนาและจิตสำนึก จึงไม่สามารถเป็นผู้กระทำกรรมหรือผู้บรรลุนิพพานได้ อย่างไรก็ตาม AI อาจช่วยส่งเสริมความเข้าใจคำสอนพุทธและสนับสนุนการศึกษาเชิงศีลธรรม หากมนุษย์ใช้ด้วยปัญญาและความรับผิดชอบ
ดังนั้น ความท้าทายที่แท้จริงมิใช่ว่า AI จะเปลี่ยนคำสอนพุทธอย่างไร แต่คือการที่มนุษย์จะใช้ AI อย่างไรให้สอดคล้องกับเจตนาชอบ กรุณา และปัญญา เพื่อยังคงความหมายแท้จริงของพุทธศาสนาไว้ในโลกดิจิทัล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...