วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์บทบาทคณะสงฆ์ไทยจากกรณีปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา: มุมมองบนฐานคิดของนิธิ เอียวศรีวงศ์


พุทธศาสนาเป็นรากฐานสำคัญทางวัฒนธรรมและสังคมของไทยมาอย่างยาวนาน คณะสงฆ์ไม่เพียงเป็นผู้นำทางศีลธรรม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลไกที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยใหม่ คณะสงฆ์ไทยกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในประเด็นที่ไม่สามารถตอบโจทย์ทางสังคมและการเมืองร่วมสมัยได้ โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ที่สะท้อนให้เห็นข้อจำกัดของ “พุทธไทย” ในการมีบทบาทเชิงสาธารณะ บทความนี้จะวิเคราะห์บทบาทของคณะสงฆ์ไทยในกรณีดังกล่าว โดยใช้มุมมองของ
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นฐาน

พุทธไทยกับความเงียบงันต่อวิกฤตสังคมและการเมือง

นิธิ เอียวศรีวงศ์ ชี้ให้เห็นว่า พุทธไทยไม่สามารถตอบโจทย์ทางสังคมและการเมืองได้อย่างแท้จริง ความเงียบงันของคณะสงฆ์ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เช่น การยึดอำนาจโดยคณะทหาร หรือการใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วง เป็นหลักฐานที่แสดงถึงการไม่ทำหน้าที่เป็นพลังศีลธรรมในการกำกับรัฐหรือสังคม

เมื่อพิจารณากรณีความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา คณะสงฆ์ไทยก็ไม่ได้แสดงบทบาทในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยหรือผู้เสนอแนวทางสันติวิธี ทั้งที่ศาสนาพุทธควรเป็นกลไกสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การนิ่งเฉยของสงฆ์สะท้อนถึงข้อจำกัดของพุทธไทยที่นิธิระบุว่าเหลือเพียง “พิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์” มากกว่าการเป็นพลังทางสังคม

คณะสงฆ์กับโครงสร้างรัฐและการเมือง

นิธิมองว่าคณะสงฆ์ไทยถูกควบคุมโดยรัฐอย่างเบ็ดเสร็จมาตั้งแต่การปฏิรูปศาสนาในสมัยใหม่ การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ การจัดทำพระไตรปิฎกฉบับพิมพ์ และการแปลพระสูตร แม้มีคุณูปการ แต่ก็นำไปสู่การผูกขาดการตีความธรรมะโดยรัฐ ทำให้คณะสงฆ์ไม่อาจเคลื่อนไหวอิสระหรือปรับตัวให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม

ในกรณีพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา รัฐมุ่งใช้กลไกทางการทูต กองทัพ และการเมืองระหว่างประเทศ แต่กลับไม่เปิดพื้นที่ให้คณะสงฆ์เป็นตัวแสดงทางศีลธรรม แม้ว่าศาสนาพุทธจะเป็นรากฐานร่วมกันของทั้งสองประเทศ หากคณะสงฆ์ไทยมีอิสระและพลังเพียงพอ อาจสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางศาสนาเพื่อคลี่คลายความขัดแย้งได้ แต่โครงสร้างรัฐ–สงฆ์ไทยกลับไม่เอื้อต่อการทำหน้าที่ดังกล่าว

พุทธไทย: คำตอบระดับปัจเจก ไม่ใช่เชิงโครงสร้าง

ตามมุมมองของนิธิ จุดอ่อนของพุทธไทยคือการมีคำตอบเพียงระดับปัจเจกบุคคล เช่น การอดออม ขยัน หรือ “ทำใจ” แต่ไม่สามารถให้คำตอบกับปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ความไม่เป็นธรรมในระบบกฎหมาย ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ หรือความขัดแย้งทางการเมือง ในกรณีชายแดนไทย–กัมพูชา ความเงียบของคณะสงฆ์จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างความคิดของพุทธไทยที่ไม่เคยถูกตีความใหม่ให้สามารถจัดการกับปัญหาสังคมและการเมืองระดับมหภาค

เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

ต่างจากไทย พุทธศาสนาในพม่า ศรีลังกา และกัมพูชา เคยมีบทบาทนำในการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงสมัยใหม่ เพราะไม่ถูกควบคุมโดยรัฐอาณานิคมอย่างเข้มงวด ทำให้สามารถพัฒนาการตีความและเคลื่อนไหวเชิงสังคมได้หลากหลาย ตรงกันข้าม คณะสงฆ์ไทยถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบรัฐและแสวงหาการอุปถัมภ์จากรัฐ มากกว่าจากพุทธบริษัทหรือสังคม

หากพิจารณากรณีความขัดแย้งชายแดน คณะสงฆ์กัมพูชากลับสามารถเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกับการเมืองระหว่างประเทศได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่คณะสงฆ์ไทยถูกทำให้ไร้บทบาทในเวทีเดียวกัน

บทสรุป

การวิเคราะห์ตามฐานคิดของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ชี้ให้เห็นว่า คณะสงฆ์ไทยในกรณีปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาแทบไม่มีบทบาทใด ๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์ ทั้งที่ศาสนาพุทธควรเป็นพลังสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพ เหตุผลสำคัญคือคณะสงฆ์ไทยถูกควบคุมโดยรัฐ ไม่สามารถพัฒนาการตีความใหม่เพื่อตอบโจทย์ทางสังคมการเมืองร่วมสมัยได้ อีกทั้งพุทธไทยยังคงเป็นเพียงคำตอบระดับปัจเจก ไม่ใช่โครงสร้าง

ดังนั้น หากสังคมไทยยังต้องการให้พุทธศาสนาและคณะสงฆ์มีบทบาทเชิงสาธารณะอย่างแท้จริง จำเป็นต้องมีการปฏิรูปทั้งโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์และการตีความธรรมะใหม่ ให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาความขัดแย้งในระดับชาติและระหว่างประเทศ มิฉะนั้น คณะสงฆ์ไทยก็จะดำรงอยู่เพียงในฐานะ “เฟอร์นิเจอร์ทางวัฒนธรรม” อย่างที่นิธิกล่าวไว้ และไม่สามารถเป็นพลังในการสร้างสันติภาพในภูมิภาคได้เลย

ที่มาของฐานข้อมูล- https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_354582

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...