วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์อรุณรุ่งในเงามืด Deep State คณะสงฆ์ไทย จากมุมมองของ ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม


แนวคิด “Deep State” หรือ “รัฐซ้อนเร้น” เป็นกรอบการอธิบายโครงสร้างอำนาจที่ฝังรากลึกและดำรงอยู่เหนือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ในสังคมไทย การถกเถียงเรื่อง Deep State มักโยงเข้ากับการเมือง เศรษฐกิจ และโอกาสของคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในมิติของ ศาสนาและคณะสงฆ์ไทย ก็พบโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน

ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้นำเสนอแนวคิด “อรุณรุ่งในเงามืด” เพื่อชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีพลังสร้างสรรค์ใหม่ ๆ งอกงามขึ้นมา แต่กลับถูกบดบังหรือจำกัดด้วยโครงสร้างอำนาจเก่าและระบบที่แข็งตัว บทความนี้จึงมุ่ง วิเคราะห์คณะสงฆ์ไทยภายใต้เงามืดของ Deep State โดยใช้กรอบการวิเคราะห์ของ ดร. สุวิทย์ เพื่อสะท้อนทางเลือกและยุทธศาสตร์ในการก้าวข้ามกับดักดังกล่าว


1. บริบทและความท้าทายของคณะสงฆ์ไทย

คณะสงฆ์ไทยในศตวรรษที่ 21 ต้องเผชิญ “ความท้าทายหลายชั้น” ไม่ต่างจากสังคมทั่วไป ได้แก่

  • ผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางศาสนาและการอุปถัมภ์ลดลง วัดจำนวนมากประสบปัญหาด้านทรัพยากร

  • ความคาดหวังของสังคมต่อพระสงฆ์เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในโลกดิจิทัล ที่ศาสนาต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่

  • ปัญหาความโปร่งใสและข้อครหาในระบบการปกครองคณะสงฆ์ ซึ่งส่งผลต่อความศรัทธาของญาติโยม

  • ระบบอุปถัมภ์และลำดับชั้นที่แข็งตัว ทำให้พระสงฆ์รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพไม่สามารถแสดงบทบาทได้เต็มที่

ทั้งหมดนี้ทำให้ “อรุณรุ่ง” ของคณะสงฆ์ไทย — หมายถึงพลังการปรับตัว ความคิดสร้างสรรค์ และบทบาทเชิงบวกที่พระสงฆ์สามารถทำต่อสังคม — ถูกบดบังด้วย เงามืดของ Deep State ทางศาสนา


2. Deep State: เงามืดที่ปิดกั้นอนาคตคณะสงฆ์

โครงสร้าง Deep State ในคณะสงฆ์ปรากฏออกมาในหลายมิติ เช่นเดียวกับที่ ดร. สุวิทย์ อธิบายต่อสังคมในภาพรวม ได้แก่

  1. อนาคตที่ถูกล็อกเพดาน

    • พระสงฆ์รุ่นใหม่แม้มีความรู้ ความสามารถ แต่ถูกจำกัดด้วยระบบอุปถัมภ์และตำแหน่งตามอายุพรรษา

  2. ความฝันที่ไม่งอกงาม

    • แนวคิดการเผยแผ่ศาสนารูปแบบใหม่มักไม่ถูกสนับสนุน พระจำนวนหนึ่งจึงเลือกออกจากระบบหรือไปแสวงหาบทบาทในต่างประเทศ

  3. สังคมเหลื่อมล้ำเข้มข้น

    • วัดใหญ่ในเมืองมีทรัพยากรมหาศาล ขณะที่วัดเล็กในชนบทขาดแคลน ส่งผลให้การทำงานทางสังคมไม่สมดุล

  4. ไร้อนาคตและ Disengagement

    • พระบางรูปหมดศรัทธาในระบบการปกครองสงฆ์ หันไปอยู่แบบไม่ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมส่วนรวม

  5. การปะทะระหว่างรุ่น

    • พระรุ่นใหม่ที่ต้องการความโปร่งใสและการปฏิรูป อาจปะทะกับโครงสร้างเก่าที่ต้องการรักษาระเบียบเดิม

  6. Lost Generations ของคณะสงฆ์

    • หากพระสงฆ์รุ่นใหม่ไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่ ประเทศไทยอาจสูญเสีย “ทุนทางศีลธรรมและจิตวิญญาณ” ที่จำเป็นต่อการพัฒนาสังคม


3. Scenario Mapping: 4 ฉากทัศน์อนาคตคณะสงฆ์ไทย

ตามกรอบของ ดร. สุวิทย์ เราสามารถวิเคราะห์อนาคตคณะสงฆ์ไทย โดยใช้สองแกน ได้แก่

  • ความแข็งแรงของ Deep State สงฆ์ (อ่อน ⟷ เข้ม)

  • พลังและแรงขับเคลื่อนของพระสงฆ์รุ่นใหม่ (ต่ำ ⟷ สูง)

Q1 – Sangha Trapped (Deep State เข้ม + พลังรุ่นใหม่ต่ำ)

พระสงฆ์ติดกับดักระบบอุปถัมภ์ วัดเป็นเพียงสถานที่ประกอบพิธีกรรม ไม่มีพลังในการสร้างสรรค์สังคม

Q2 – Sangha Clash (Deep State เข้ม + พลังรุ่นใหม่สูง)

พระสงฆ์รุ่นใหม่พยายามผลักดันการเปลี่ยนแปลง แต่ถูกแรงต้านจากโครงสร้างเก่า เสี่ยงเกิดความขัดแย้งในวงการคณะสงฆ์

Q3 – Sangha Drift (Deep State อ่อน + พลังรุ่นใหม่ต่ำ)

ระบบเก่าอ่อนแรง แต่พระรุ่นใหม่ไม่ถูกจุดประกาย ทำให้คณะสงฆ์ลอยไปเรื่อย ๆ โดยไม่สร้างบทบาทใหม่ที่ชัดเจน

Q4 – Sangha in Charge (Deep State อ่อน + พลังรุ่นใหม่สูง)

พระสงฆ์รุ่นใหม่ก้าวขึ้นมามีบทบาท ใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์เผยแผ่พุทธศาสนาในมิติใหม่ เช่น Digital Buddhism, Social Engagement Buddhism


4. ยุทธศาสตร์การพัฒนา: Brain Power และ Manpower ของคณะสงฆ์

เพื่อเปลี่ยน “เงามืด” ให้กลายเป็น “อรุณรุ่ง” ดร. สุวิทย์เสนอให้มียุทธศาสตร์ที่ประยุกต์กับคณะสงฆ์ ดังนี้

  • Q1 (Sangha Trapped):

    • Safe Space for Dharma Innovation – สร้างพื้นที่ให้พระทดลองแนวทางเผยแผ่ใหม่ ๆ

    • Micro-Meritocracy – ส่งเสริมพระที่มีผลงานจริง มากกว่าการเลื่อนสมณศักดิ์

    • Prevent Spiritual Drain – เชื่อมเครือข่ายพระไทยในต่างแดน

  • Q2 (Sangha Clash):

    • Dharma Shield – พื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเสนอความเห็นต่างในคณะสงฆ์

    • Dual Track Monastic Education – การเรียนรู้ทั้งพระธรรมและโลกสมัยใหม่ เช่น Digital, Green, Civic Education

    • Global Dharma Bridge – สร้างความร่วมมือระหว่างพระสงฆ์ไทยกับเครือข่ายศาสนาโลก

  • Q3 (Sangha Drift):

    • Purpose-Driven Monastic Education – ทำให้พระรุ่นใหม่เห็นความหมายของการบวชและบทบาทต่อสังคม

    • National Dharma Missions – โครงการระดับชาติ เช่น พระสงฆ์กับสิ่งแวดล้อม หรือพระสงฆ์กับการเยียวยาสังคม

    • Culture of Innovation in Buddhism – สร้างแรงบันดาลใจจาก Role Model พระนักคิดรุ่นใหม่

  • Q4 (Sangha in Charge):

    • Youth-Led Sangha Reform – เปิดพื้นที่ให้พระรุ่นใหม่ออกแบบการปฏิรูปสงฆ์

    • Dharma as Soft Power – ใช้คณะสงฆ์เป็นพลังทางวัฒนธรรมบนเวทีโลก

    • PPP Talent Pipeline for Sangha – สร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และสงฆ์ เพื่อบ่มเพาะพระนักพัฒนา


5. บทสรุป: อรุณรุ่งในเงามืดของคณะสงฆ์ไทย

คณะสงฆ์ไทยยืนอยู่ที่ “ทางสี่แพร่งของอนาคต” ว่าจะติดกับดักของ Deep State, จะล่องลอยไปโดยไม่สร้างบทบาทใหม่, จะปะทะกันระหว่างรุ่น หรือจะก้าวขึ้นมาเป็นพลังนำในการสร้างสังคมคุณธรรม

ในมุมมองของ ดร. สุวิทย์ “อรุณรุ่งในเงามืด” จึงมิใช่เพียงความหวัง แต่เป็น ศักยภาพที่แท้จริง หากคณะสงฆ์ไทยสามารถก้าวข้ามโครงสร้างอุปถัมภ์ที่กดทับได้ อนาคตของพระพุทธศาสนาไทยก็จะไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังสามารถเป็น พลังสร้างสรรค์ทางจิตวิญญาณและคุณธรรมบนเวทีโลก ได้อย่างสง่างาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...