วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาคณะสงฆ์ไทยโดยมีพระไตรปิฎกเป็นฐาน


การศึกษาของคณะสงฆ์ไทยมีรากฐานจากพระพุทธศาสนาเถรวาทที่สืบทอดมายาวนาน โดยเฉพาะพระไตรปิฎกซึ่งถือเป็นแหล่งคำสอนหลัก ทั้งด้านพระธรรม (หลักธรรมคำสอน) พระวินัย (ข้อวัตรปฏิบัติของสงฆ์) และพระอภิธรรม (หลักปรัชญาเชิงลึก) การจัดการศึกษาในคณะสงฆ์ไทยจึงไม่เพียงแต่เป็นการผลิตกำลังคนทางศาสนา หากยังมีเป้าหมายในการธำรงพระศาสนา การสร้างศีลธรรมแก่สังคม และการพัฒนาปัญญาของพระภิกษุสามเณรให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่

การวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาของคณะสงฆ์ไทยที่ยึดพระไตรปิฎกเป็นฐาน จึงมีความสำคัญทั้งในเชิงโครงสร้างหลักสูตร เนื้อหา วิธีการเรียนการสอน และผลลัพธ์ต่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทยโดยรวม

แนวคิดพื้นฐานของการศึกษาในคณะสงฆ์

พระไตรปิฎกเป็นรากฐานขององค์ความรู้ – ถือเป็น “หลักสูตรดั้งเดิม” ที่มีการสอน สาธยาย และท่องจำมาตั้งแต่พุทธกาล

เป้าหมายเชิงคุณธรรมและปัญญา – มิใช่เพียงการสร้างผู้รู้เชิงวิชาการ แต่เพื่อพัฒนาผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงความพ้นทุกข์

โครงสร้างคู่ขนาน – การศึกษาคณะสงฆ์ไทยแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ได้แก่

การศึกษาพระปริยัติธรรม (บาลี, นักธรรม) เพื่อเน้นการเรียนรู้คำสอน

การศึกษาพระพุทธศาสนาในระบบมหาวิทยาลัยสงฆ์ (มหาจุฬาฯ และมหามกุฏฯ) ซึ่งเชื่อมโยงการศึกษาพระไตรปิฎกกับศาสตร์สมัยใหม่

การวิเคราะห์โครงสร้างหลักสูตร

โครงสร้างเชิงวิชา

เนื้อหาหลักประกอบด้วยพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก

มีการขยายรายวิชาไปสู่พระพุทธศาสนศึกษา ปรัชญา ศาสนาเปรียบเทียบ และสาขาประยุกต์ เช่น การบริหาร การศึกษา และสังคมศาสตร์

วิธีการเรียนการสอน

ใช้วิธีสาธยาย ท่องจำ วิเคราะห์เชิงอรรถกถา

ในมหาวิทยาลัยสงฆ์เพิ่มวิธีการเชิงวิชาการสมัยใหม่ เช่น การวิจัย วิทยานิพนธ์ และการใช้เทคโนโลยีการศึกษา

เป้าหมายของหลักสูตร

ระดับพื้นฐาน: สืบทอดการท่องจำพระไตรปิฎก

ระดับอุดมศึกษา: พัฒนาการตีความเชิงวิชาการ สร้างองค์ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงกับสังคม

ข้อดีของโครงสร้างหลักสูตร

รักษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

พัฒนาพระสงฆ์ให้มีศักยภาพในการเผยแผ่และบริการสังคม

เชื่อมโยงภูมิปัญญาดั้งเดิมกับศาสตร์สมัยใหม่

ข้อจำกัดของโครงสร้างหลักสูตร

เน้นบาลีและการท่องจำมาก ทำให้ผู้เรียนบางส่วนเข้าไม่ถึงสาระเชิงปฏิบัติ

การบูรณาการพระไตรปิฎกกับศาสตร์สมัยใหม่ยังไม่สมดุล

การประเมินผลยังยึดติดกับการสอบข้อเขียนมากกว่าการปฏิบัติจริง

ข้อสังเกตเชิงวิเคราะห์

การศึกษาคณะสงฆ์ยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายในยุคโลกาภิวัตน์

หากไม่ปรับให้เข้ากับสังคมร่วมสมัย อาจทำให้พระสงฆ์รุ่นใหม่ขาดทักษะในการประยุกต์ใช้ธรรมะเพื่อแก้ปัญหาสังคม

ควรพัฒนาโครงสร้างหลักสูตรให้พระไตรปิฎกมิใช่เพียง “เนื้อหาที่ศึกษา” แต่เป็น “เครื่องมือแห่งการคิดเชิงวิพากษ์” และการสร้างนวัตกรรมทางศาสนา

ข้อเสนอแนะ

ปรับโครงสร้างหลักสูตรให้มี “สมดุล” ระหว่าง บาลี–ธรรมะ กับ ศาสตร์สมัยใหม่

ใช้พระไตรปิฎกเป็นฐานในการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ทางพุทธศาสนา

เพิ่มรายวิชาด้านการประยุกต์ เช่น พุทธจิตวิทยา พุทธสันติวิธี พุทธเศรษฐศาสตร์

ส่งเสริมการเรียนรู้แบบ “ภาคปฏิบัติ” ควบคู่กับการสอบข้อเขียน

พัฒนา “หลักสูตรบูรณาการ” สำหรับพระสงฆ์ที่ต้องทำงานด้านสังคม สันติภาพ และสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น การวิเคราะห์หลักสูตรการศึกษาคณะสงฆ์ไทยโดยมีพระไตรปิฎกเป็นฐาน แสดงให้เห็นว่าพระไตรปิฎกคือรากฐานขององค์ความรู้และการปฏิบัติที่สืบทอดมาแต่โบราณ โครงสร้างหลักสูตรในปัจจุบันพยายามผสมผสานระหว่างการสืบทอดภูมิปัญญาและการบูรณาการกับโลกสมัยใหม่ อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดที่ต้องปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม หากสามารถพัฒนาหลักสูตรให้เป็นทั้ง การรักษาแก่นแท้ และ การสร้างคุณค่าใหม่ จะทำให้การศึกษาของคณะสงฆ์ไทยเป็นพลังสำคัญต่อการธำรงพระพุทธศาสนาและสังคมไทยในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...