วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์สมรภูมิข่าวสารไทย–กัมพูชา

 


บทนำ

ในยุคดิจิทัล ความขัดแย้งระหว่างประเทศมิได้ดำเนินไปเฉพาะในสมรภูมิทางทหาร หากยังขยายตัวสู่ สมรภูมิข่าวสาร (Information Battlefield) ซึ่งครอบคลุมทั้งสื่อมวลชน สื่อออนไลน์ และปฏิบัติการทางไซเบอร์ ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาในปี 2568 จึงสะท้อนให้เห็นว่า “ข่าวสาร” กลายเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ที่ทรงพลังพอ ๆ กับอาวุธยุทโธปกรณ์ ราชดำเนินเสวนาในหัวข้อ “สมรภูมิข่าวสารไทย–กัมพูชา” จึงเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมข้อคิดเห็นจากภาครัฐ ภาคสื่อ และภาควิชาการ เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์เชิงลึกถึงบทบาทของข่าวสารในภาวะวิกฤติ

สงครามข่าวสาร: มิติใหม่ของความขัดแย้ง

พล.ต.ธีรวุฒิ วิทยากร รองเลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ระบุว่า ความขัดแย้งปัจจุบันมีทั้ง (1) การรบด้วยอาวุธ (2) สงครามข่าวสาร และ (3) สงครามไซเบอร์ ตัวอย่างชัดเจนคือการโจมตีทางไซเบอร์รูปแบบ DDoS และการเปลี่ยนแปลงข้อมูลบนแพลตฟอร์มออนไลน์ก่อนหน้าการปะทะทางทหารจริง โดยสื่อไทยมีทั้งจุดแข็ง ได้แก่ ความระมัดระวังด้านความมั่นคง มนุษยธรรม และการตรวจสอบข่าวปลอม แต่ก็มีจุดอ่อน เช่น การนำเสนอข่าวที่ยังไม่ยืนยัน และการสร้างกระแสเชิงคลิกเบต

พล.ต.ธีรวุฒิยังเสนอแนวคิด Zero Trust หรือ “การเชื่อเป็นศูนย์” ในการกลั่นกรองข่าวสาร กล่าวคือรับฟังข้อมูลได้ แต่ต้องตรวจสอบก่อนเผยแพร่ ซึ่งหากสื่อไทยยึดหลักความจริง แม้ออกมาช้า แต่จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือและสร้างชัยชนะทางข้อมูลในที่สุด

บทบาทสื่อและความท้าทายในการสื่อสาร

ดร.ชำนาญ นางมณีอุดม จากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ชี้ให้เห็นว่า ข่าวปลอมเป็น New Normal ที่ส่งผลต่อความมั่นคงและคุณภาพชีวิตของประชาชน การสื่อสารในภาวะวิกฤติจึงต้องเน้นความจริง หลีกเลี่ยงการสร้างความเกลียดชังข้ามพรมแดน และย้ำว่าความขัดแย้งมิใช่ปัญหาของประชาชนไทย–กัมพูชาโดยรวม แต่เป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้องจากบางฝ่ายในกัมพูชา หากไทยสามารถสื่อสารด้วยความจริง ก็จะช่วยคืนความสัมพันธ์ชายแดน การค้า และความสงบสุขในภูมิภาค

ด้าน ก่อเขต จันทเลิศลักษณ์ จากไทยพีบีเอส วิเคราะห์ว่า สื่อกัมพูชาถูกควบคุมโดยรัฐ จึงนำเสนอข่าวในเชิงเอกภาพเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ในขณะที่สื่อไทยมีเสรีภาพมากกว่า แต่ต้องระวังไม่ให้การนำเสนอทำให้เสียเปรียบในเวทีนานาชาติ เช่น การเปิดเผยที่ตั้งทางทหาร หรือการใช้ภาพถ่ายที่อาจระบุพิกัดได้โดยไม่ตั้งใจ เขาย้ำว่าสื่อควรสะท้อนภาพลักษณ์ของไทยว่าเป็นผู้ป้องกันภัยคุกคาม ไม่ใช่ผู้รุกราน

มิติทางสังคมและสื่อใหม่

ดร.สังกมา สารวัตร จากมหาวิทยาลัยศิลปากร ชี้ให้เห็นมิติของ โซเชียลมีเดีย ซึ่งกลายเป็นตัวเร่งความขัดแย้ง โดยคนรุ่นใหม่กว่า 40% ไม่ได้ติดตามข่าวจากสื่อหลัก แต่เลือกตามอินฟลูเอนเซอร์ที่นำเสนอรวดเร็วแบบเรียลไทม์ แม้จะขาดการกลั่นกรอง การปั่นแฮชแท็กทำให้เกิดความเกลียดชังระหว่างประชาชน แต่ขณะเดียวกันก็บ่งชี้ถึงความตื่นตัวทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ การกำหนดประเด็นข่าวของรัฐยังเป็นปัจจัยสำคัญ เช่น ฝ่ายกัมพูชามีการแถลงข่าวอย่างสม่ำเสมอและชูภาพลักษณ์ “ผู้รักสันติภาพ” ขณะที่สื่อไทยยังขาดการประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้เสียเปรียบในเวทีสื่อสารมวลชนระหว่างประเทศ

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

จากการวิเคราะห์ “สมรภูมิข่าวสารไทย–กัมพูชา” สามารถสรุปได้ว่า ความจริงคืออาวุธที่สำคัญที่สุด การเผยแพร่ข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบ แม้จะช้ากว่า แต่จะสร้างความน่าเชื่อถือทั้งในระดับประชาชนและนานาชาติ ข้อเสนอเชิงนโยบายและวิชาการมีดังนี้

  1. ยกระดับมาตรฐานสื่อไทย ให้ยึดหลัก Zero Trust กลั่นกรองข้อมูลก่อนเผยแพร่

  2. สร้างเอกภาพในการสื่อสารระดับรัฐ โดยมีโฆษกหรือศูนย์กลางข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อแข่งขันกับกลไกสื่อสารของกัมพูชา

  3. ส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย เพื่อป้องกันการถูกชักจูงด้วยข่าวปลอม

  4. ใช้สื่อเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ มุ่งเน้นการสื่อสารที่ไม่สร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนสองชาติ แต่แยกแยะระหว่าง “รัฐ” กับ “ประชาชน” อย่างชัดเจน

  5. บูรณาการสื่อใหม่และสื่อหลัก เพื่อให้การสื่อสารทั้งภายในและต่างประเทศมีประสิทธิภาพ และสร้างภาพลักษณ์ที่ถูกต้องของประเทศไทยในเวทีโลก

กล่าวโดยสรุป สมรภูมิข่าวสารในความขัดแย้งไทย–กัมพูชาไม่ใช่เพียงการแข่งขันเพื่อช่วงชิงการรับรู้ แต่คือการสร้างความจริง ความชอบธรรม และความมั่นคงในระยะยาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...