เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2568 ดร.นิยม เวชกามา หรือที่รู้จักกันในนาม “ดร.มหานิยม” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ) เปิดเผยว่า โลกปัจจุบันเผชิญกับปัญหาซับซ้อนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้งทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไปจนถึงวิกฤติสิ่งแวดล้อม ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้ด้วยกลไกการเมืองหรือระบบเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัย “สติ” และ “ปัญญา” เป็นฐานสำคัญ
ดร.นิยม อธิบายว่า “สติ” หมายถึงการระลึกรู้ รู้ทันอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง ทำหน้าที่เหมือนยามเฝ้าประตูเพื่อป้องกันการตัดสินใจที่เกิดจากอคติหรืออารมณ์ชั่ววูบ ขณะที่ “ปัญญา” คือความเข้าใจตามความเป็นจริง วิเคราะห์เหตุและปัจจัยของปัญหาเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการฝึกสติอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในมิติของสงครามและความขัดแย้ง ดร.นิยมย้ำว่า หากปราศจากสติ มนุษย์และรัฐชาติมักตกอยู่ในวงจรแห่งความรุนแรง แต่เมื่อมีสติและปัญญา จะสามารถใช้การเจรจาและการประนีประนอมเป็นทางออก ลดการสูญเสียและสร้างสันติภาพถาวรได้
ด้านเศรษฐกิจโลก ดร.นิยมเตือนว่า การตัดสินใจที่ขาดสติอาจนำไปสู่วิกฤติการเงินและความเหลื่อมล้ำ แต่หากผู้บริหารประเทศและภาคธุรกิจมีสติและปัญญา ก็จะสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน คำนึงถึงความเป็นธรรม การกระจายโอกาส และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาว
ดร.นิยมกล่าวทิ้งท้ายว่า ข้อความ “สติจึงสำคัญในการช่วย สติมาปัญญาเกิด” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการปฏิบัติธรรม แต่เป็นหลักการใช้ชีวิตที่สามารถปรับใช้ได้ในทุกมิติของสังคม ตั้งแต่การเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึงความมั่นคง เพื่อให้โลกอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและสงบสุข

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น