กรณีการลาออกของ พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต ติกฺขปญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ได้รับความสนใจในสังคมไทย เนื่องจากวัดพระบาทน้ำพุเป็นศูนย์กลางด้านการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และหลวงพ่ออลงกตก็เป็นพระนักพัฒนาและนักสังคมสงเคราะห์ที่มีบทบาทโดดเด่น แต่ขณะเดียวกันก็ถูกตั้งคำถามและตรวจสอบอย่างเข้มข้นในประเด็นการใช้เงินบริจาคและการบริหารจัดการทางศาสนา
ปรากฏการณ์นี้จึงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ “ตัวบุคคล” เท่านั้น หากแต่สะท้อนถึงโครงสร้างการบริหารคณะสงฆ์ไทย ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐ ตลอดจนทัศนคติของสังคมต่อพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน
1. ปัญหาการอธิบายเชิงวิชาการที่ขาดหาย
นักวิชาการสายพุทธที่อยู่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์มักจะหลีกเลี่ยงการวิเคราะห์เชิงลึกต่อกรณีอื้อฉาวของพระสงฆ์ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพียง “เรื่องตัวบุคคล” ไม่ใช่ “เรื่องของศาสนา” พร้อมคำปลอบใจว่า “คนเสื่อม ศาสนาไม่เสื่อม” ทว่าในสายตาของสาธารณชน การอธิบายดังกล่าวไม่ช่วยคลี่คลายข้อสงสัย หากกลับยิ่งตอกย้ำว่าคณะสงฆ์ไม่สามารถสะท้อนปัญหาและหาทางออกอย่างจริงจัง
ในทางตรงกันข้าม นักวิชาการนอกมหาวิทยาลัยสงฆ์กลับพยายามตีความและวิพากษ์อย่างหลากหลาย เช่น การมองปรากฏการณ์อื้อฉาวทางเพศว่าเป็น “กระบวนการนารีพิฆาต” หรือการมองเรื่องการเงินว่าเป็นความไม่โปร่งใส แต่คำอธิบายเหล่านี้ก็ยังไม่เป็นระบบและไม่สามารถสร้างความเข้าใจที่รอบด้านต่อประชาชนทั่วไป
2. กรอบกฎหมายและพระธรรมวินัย : เหตุใดจึงยังเกิดกรณีอื้อฉาว
คณะสงฆ์ไทยมีกลไกกำกับหลายชั้น ได้แก่ พระธรรมวินัย กฎหมายคณะสงฆ์ กฎหมายบ้านเมือง และการปกครองโดยพระเจ้าคณะตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาสจนถึงมหาเถรสมาคม ทว่ากลับยังมีกรณีอื้อฉาวปรากฏออกมาเป็นระยะ ๆ เช่น กรณีการเงิน การบริหารวัด หรือพฤติกรรมส่วนบุคคลของพระสงฆ์
คำถามสำคัญคือ เหตุใดระบบการกำกับจึงไม่สามารถป้องกันหรือจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ? คำตอบหนึ่งอาจอยู่ที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐและคณะสงฆ์ที่เอื้อให้บางกรณีถูก “ประนีประนอม” มากกว่าถูก “ตรวจสอบ” ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงการขาดกลไกตรวจสอบจากภายใน (self-regulation) ที่เข้มแข็ง
3. กรณีวัดพระบาทน้ำพุและการลาออกของพระราชวิสุทธิประชานาถ
คำสั่งเจ้าคณะจังหวัดลพบุรีที่ 012/2568 อนุญาตให้พระราชวิสุทธิประชานาถลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ มีผลตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 เป็นการดำเนินการตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2541) ข้อ 24 ซึ่งเปิดช่องให้พระสังฆาธิการสามารถขอลาออกจากตำแหน่งได้
ในอีกด้านหนึ่ง นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าหลวงพ่ออลงกตลาออกจริงหรือไม่ แต่ย้ำว่าการลาออกหรือไม่ลาออกจะไม่กระทบต่อกระบวนการตรวจสอบ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็อยู่ในอำนาจการตรวจสอบอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับวัดพระบาทน้ำพุ เพื่อพิจารณาว่ามีการใช้มูลนิธิเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบเงินบริจาคหรือไม่ ซึ่งสะท้อนถึงมิติใหม่ของการตรวจสอบพระสงฆ์ที่เกี่ยวพันกับประเด็นการเงินและการจัดการองค์กรศาสนา
4. ปรากฏการณ์นี้บอกอะไรกับสังคมไทย?
-
ความเชื่อมั่นต่อพระสงฆ์ – สังคมไทยเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นต่อบทบาทพระสงฆ์ในฐานะผู้ถือศีลและผู้บริหารจัดการเงินจำนวนมาก
-
ความสัมพันธ์รัฐ–ศาสนา – การใช้ภาษีประชาชนสนับสนุนกิจการพุทธศาสนา ยิ่งทำให้เกิดแรงกดดันในการตรวจสอบความโปร่งใส
-
ช่องว่างทางวิชาการ – การที่พระสงฆ์และคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่กล้าวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ อาจทำให้การปฏิรูปศาสนาไม่เดินหน้า และปล่อยให้สังคมภายนอกเป็นผู้ตั้งคำถามแทน
-
ความจำเป็นของการปฏิรูป – ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าคณะสงฆ์จำเป็นต้องสร้างระบบตรวจสอบภายในที่โปร่งใส และเปิดรับการตรวจสอบจากสังคมมากกว่าการตอบโต้เชิงอารมณ์
บทสรุป
กรณีพระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต) ไม่ควรถูกมองเพียงว่าเป็นเหตุการณ์เฉพาะบุคคล แต่เป็น “กระจกสะท้อน” โครงสร้างการบริหารคณะสงฆ์ไทย ความสัมพันธ์รัฐ–ศาสนา และทัศนคติของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป หากปรากฏการณ์นี้ได้รับการอธิบายอย่างจริงจังและเป็นระบบ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการจัดการคณะสงฆ์และการฟื้นฟูความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาได้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น