วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568

บนทางสามแพร่ง: ทางสายกลางคือทางออกคณะสงฆ์ไทย


บนทางสามแพร่ง: ทางสายกลางคือทางออกคณะสงฆ์ไทย โดยอิงแนวคิด “Radical Middle” ของ ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์

บทนำ

คณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายหลากหลาย ทั้งด้านความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่ลดลง ปัญหาการจัดการองค์กรสงฆ์ และแรงกดดันจากสังคมยุคใหม่ที่ต้องการ “ความโปร่งใส–ทันสมัย” ควบคู่กับ “การรักษาจารีตประเพณี” ปรากฏการณ์นี้สะท้อนลักษณะเดียวกับ “สังคมไทยโดยรวม” ที่กำลังยืนอยู่บน ทางสามแพร่ง ระหว่าง ซ้ายสุดขั้ว – ขวาสุดโต่ง – ทางสายกลางเข้มข้น (Radical Middle)

แนวคิด “Radical Middle” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ชี้ว่า “จารีต X ปฏิรูป” คือคำตอบที่ยั่งยืน ไม่ใช่การเลือกข้างสุดโต่ง แต่เป็นการสร้าง “สังเคราะห์ใหม่” ที่ทำให้ทั้งจารีตและการเปลี่ยนแปลงอยู่ร่วมกันได้ หากนำกรอบคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับ การบริหารและอนาคตของคณะสงฆ์ไทย จะช่วยให้มองเห็นแนวทางออกจากความท้าทายในปัจจุบัน


คณะสงฆ์ไทยบนทางสามแพร่ง

1. ทางซ้ายสุดขั้ว – “รื้อโครงสร้างดั้งเดิม”

แนวทางนี้คือการเสนอให้ปฏิรูปคณะสงฆ์อย่างถอนราก เช่น ยกเลิกกฎหมายสงฆ์ที่มีมาแต่โบราณ เปลี่ยนระบบการปกครองคณะสงฆ์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สอดรับกับหลักสิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค และความเป็นประชาธิปไตย จุดแข็งคือสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วและตรงใจคนรุ่นใหม่ แต่ความเสี่ยงคืออาจเจอแรงต้านมหาศาลจากผู้ยึดมั่นในจารีต นำไปสู่ความแตกแยกและทำลายความชอบธรรมของสถาบันสงฆ์ในสายตาสังคม

2. ทางขวาสุดโต่ง – “ตรึงจารีตไว้ทั้งหมด”

คือการยึดมั่นในระบบการปกครองคณะสงฆ์แบบดั้งเดิมโดยไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แนวทางนี้สร้างภาพความมั่นคงในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะเผชิญกับแรงกดดันจากคนรุ่นใหม่ การขาดความโปร่งใส และการสูญเสียศรัทธาของสังคม ความตรึงแข็งในลักษณะนี้เสี่ยงที่จะนำไปสู่ “การแตกหัก” และทำให้คณะสงฆ์ถูกมองว่า “ขวางอนาคต”

3. ทางสายกลางเข้มข้น (Radical Middle) – “สังเคราะห์จารีตและการปฏิรูป”

แนวทางนี้ไม่ใช่การเฉลี่ยครึ่ง แต่เป็นการสร้าง กรอบสังคมใหม่ (New Social Synthesis) ที่ผสมผสานคุณค่าของจารีตพุทธศาสนากับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อความโปร่งใสและทันสมัย เช่น

  • รักษาจารีต : พิธีกรรม วัตรปฏิบัติ และหลักธรรมที่เป็นรากเหง้าแห่งศรัทธา

  • ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง : เพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการทรัพย์สินสงฆ์ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการตรวจสอบการทำงานของวัด และปรับบทบาทคณะสงฆ์ให้ตอบสนองต่อสังคมร่วมสมัย
    ผลลัพธ์คือ การสร้าง “สัญญาประชาคมใหม่” ที่ทำให้พระสงฆ์ยังคงคุณค่าทางศาสนา ขณะเดียวกันก็สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้


การประยุกต์แนวคิด “Radical Middle” สู่คณะสงฆ์ไทย

  1. จารีตไม่ใช่ภาระ แต่คือทุนทางสังคม (Social Capital)
    – วัดและพระสงฆ์ควรถูกมองว่าเป็นแหล่งพลังทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมที่สามารถพัฒนาเป็น Soft Power ของไทย

  2. ปฏิรูปไม่ใช่การโค่นล้ม แต่คือการปรับตัว
    – เช่น การปรับระบบการศึกษาพระภิกษุให้ทันสมัย ควบคู่กับการเน้นหลักธรรมเพื่อการดำเนินชีวิต

  3. สร้างสะพาน ไม่สร้างกำแพง
    – คณะสงฆ์ควรเป็นพื้นที่แห่งการสมานฉันท์ ลดการแบ่งขั้วทางการเมืองและสังคม และเน้นการทำงานเชิงเครือข่ายกับภาคประชาชน

  4. Silent Majority ของชาวพุทธ
    – พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ยังคงต้องการเห็นพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ แต่ไม่อยากเห็นความสุดโต่ง คณะสงฆ์จึงควรตอบสนองต่อความต้องการนี้ด้วยแนวทางสายกลาง


สรุป

คณะสงฆ์ไทยกำลังยืนอยู่บน “ทางสามแพร่ง” เช่นเดียวกับสังคมไทยโดยรวม หากเลือก ซ้ายสุดขั้ว จะนำไปสู่ความขัดแย้ง หากเลือก ขวาสุดโต่ง จะทำให้สูญเสียศรัทธาและหยุดนิ่ง แต่หากเลือก ทางสายกลางเข้มข้น (Radical Middle) ที่ผสาน “จารีต X ปฏิรูป” คณะสงฆ์จะสามารถรักษารากฐานทางศาสนา พร้อมทั้งปรับตัวสู่อนาคตได้อย่างมั่นคง

ดังนั้น ทางออกของคณะสงฆ์ไทยจึงไม่ใช่การเลือกข้างใดข้างหนึ่ง แต่คือการเดิน “ทางสายกลางที่เข้มข้น” เพื่อสร้างความศรัทธา ความโปร่งใส และความยั่งยืนของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยยุคใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...