วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

การสะสางปัญหาคณะสงฆ์ไทย: ยึดพระธรรมวินัยเป็นแก่นแกนเพื่อการพัฒนาถาวรของพระพุทธศาสนา


บทนำ

พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักทางจิตใจและวัฒนธรรมของสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยมี “วัด” เป็นศูนย์กลางทั้งด้านจิตใจ การศึกษา และวัฒนธรรม สังคมไทยเคยพึ่งพาวัดในทุกมิติ ตั้งแต่การศึกษา การเกื้อกูลผู้ยากไร้ จนถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อย่างไรก็ตาม ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี บทบาทของวัดและพระสงฆ์กลับถูกลดทอนลงทีละน้อย พร้อมกับการวิพากษ์และการจับผิดมากกว่าการส่งเสริมสนับสนุน

การวิจัยเชิงสังคม-ศาสนาในช่วงหลังชี้ให้เห็นว่า “ความอยากได้ศีลธรรมสำเร็จรูป” ของสังคมไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวในการจัดการคณะสงฆ์ กล่าวคือ ผู้คนคาดหวังจะได้ธรรมะพร้อมใช้ แต่ไม่ให้การสนับสนุนระบบและกระบวนการพัฒนาศักยภาพของพระสงฆ์และวัดอย่างเป็นรูปธรรม


พระธรรมวินัย: แกนกลางในการแก้ปัญหา

หลักพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ คือเครื่องมือสำคัญในการดำรงความเป็นระเบียบและศักดิ์สิทธิ์ของคณะสงฆ์ ตัวอย่างเช่น

  • ปาจิตตีย์ สุราปานวรรค: พระสงฆ์ที่ดื่มสุรา ต้องปลงอาบัติ มิใช่บังคับลาสิกขา

  • โภชนวรรค วิกาลโภชน์: พระที่ฉันอาหารนอกเวลา ต้องปลงอาบัติ มิใช่ถูกบีบบังคับให้ออกจากสมณเพศ

กรณีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การตีความและการบังคับใช้กฎวินัยในสังคมไทยปัจจุบันเบี่ยงเบนจากพระธรรมวินัยเดิม โดยมีแรงกดดันจากสังคมและสื่อที่นำไปสู่การตัดสินโดยขาดกระบวนการอธิกรณ์ที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้


โลกวัชชะ vs. ปัณณัตติกวัชชะ: ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้การปฏิบัติผิดเพี้ยนคือการตีความคำว่า “โลกวัชชะ” ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ “โลกติเตียน” ทั้งที่ความจริงแล้ว โลกวัชชะคือความผิดตามกฎหมายบ้านเมือง ส่วน “ปัณณัตติกวัชชะ” คือความผิดทางพระวินัย เมื่อสังคมไทยขยายความหมายของ “โลกวัชชะ” ไปอย่างผิดเพี้ยน การบังคับใช้กฎทางศาสนาจึงเบี่ยงเบนไปตามกระแส มากกว่าการยึดเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระพุทธองค์


ความเปราะบางของสมณเพศ

พระสงฆ์ในตำแหน่งบริหาร เช่น เจ้าอาวาส หรือเจ้าคณะมักต้องแบกรับภาระจำนวนมาก ทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลวัดและการบริหารจัดการโดยไร้การสนับสนุนเพียงพอ อีกทั้งยังเผชิญความเสี่ยงในการถูกแบล็กเมล กลั่นแกล้ง หรือแย่งชิงตำแหน่ง การลาสิกขาจึงกลายเป็นทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายศักดิ์ศรีของตนเองและพระพุทธศาสนาโดยรวม


แนวทางการสะสาง: สะสางอย่างเข้าใจ

การปฏิรูปหรือการ “สะสาง” คณะสงฆ์ควรตั้งอยู่บนฐานของพระธรรมวินัยเป็นแก่นแท้ ดังที่ Boonchuay Doojai ได้เสนอว่า “สะสางอย่างเข้าใจ ยึดพระธรรมวินัยเป็นแก่นแกน” โดยต้องเริ่มต้นจากภายในคณะสงฆ์เอง ผ่านกลไกและระบบที่เข้มแข็ง เช่น

  1. ตั้งคณะทำงานภายในคณะสงฆ์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ค้นหาต้นตอ และกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม

  2. ปรับระบบการบรรพชาและอุปัชฌาย์ โดยเน้นการอบรม สร้างระบบสังฆะที่เป็นกัลยาณมิตร

  3. เน้นกระบวนการตามพระธรรมวินัย มากกว่าการตัดสินตามกระแสโซเชียล

  4. สร้างกลไกสนับสนุนจากรัฐและสังคม โดยไม่ก้าวล่วงแก่นแท้ของพระธรรมวินัย

  5. เสริมบทบาทวัดในฐานะศูนย์กลางสังคม เช่น ด้านการศึกษา วัฒนธรรม และสังคมสงเคราะห์


บทสรุป

พระพุทธศาสนาในไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างการดำรงอยู่บนแก่นแท้ของพระธรรมวินัย กับการไหลไปตามกระแสความต้องการของสังคม การสะสางปัญหาคณะสงฆ์ไม่อาจอาศัยเพียงแรงกดดันภายนอก แต่ต้องอาศัยความเข้มแข็งภายในคณะสงฆ์เอง โดยมีพระธรรมวินัยเป็นหลักชัย

หากทำได้เช่นนี้ พระพุทธศาสนาจะสามารถพัฒนาอย่างถาวร และสืบทอดคุณค่าไปสู่ชนรุ่นหลังได้อย่างมั่นคง ไม่เพียงเพื่อรักษา “ศาสนา” แต่เพื่อคงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของสังคมไทยโดยรวม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...