บทนำ
พระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักทางจิตใจและวัฒนธรรมของสังคมไทยมาอย่างยาวนาน โดยมี “วัด” เป็นศูนย์กลางทั้งด้านจิตใจ การศึกษา และวัฒนธรรม สังคมไทยเคยพึ่งพาวัดในทุกมิติ ตั้งแต่การศึกษา การเกื้อกูลผู้ยากไร้ จนถึงการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท อย่างไรก็ตาม ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี บทบาทของวัดและพระสงฆ์กลับถูกลดทอนลงทีละน้อย พร้อมกับการวิพากษ์และการจับผิดมากกว่าการส่งเสริมสนับสนุน
การวิจัยเชิงสังคม-ศาสนาในช่วงหลังชี้ให้เห็นว่า “ความอยากได้ศีลธรรมสำเร็จรูป” ของสังคมไทย เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวในการจัดการคณะสงฆ์ กล่าวคือ ผู้คนคาดหวังจะได้ธรรมะพร้อมใช้ แต่ไม่ให้การสนับสนุนระบบและกระบวนการพัฒนาศักยภาพของพระสงฆ์และวัดอย่างเป็นรูปธรรม
พระธรรมวินัย: แกนกลางในการแก้ปัญหา
หลักพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ คือเครื่องมือสำคัญในการดำรงความเป็นระเบียบและศักดิ์สิทธิ์ของคณะสงฆ์ ตัวอย่างเช่น
-
ปาจิตตีย์ สุราปานวรรค: พระสงฆ์ที่ดื่มสุรา ต้องปลงอาบัติ มิใช่บังคับลาสิกขา
-
โภชนวรรค วิกาลโภชน์: พระที่ฉันอาหารนอกเวลา ต้องปลงอาบัติ มิใช่ถูกบีบบังคับให้ออกจากสมณเพศ
กรณีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การตีความและการบังคับใช้กฎวินัยในสังคมไทยปัจจุบันเบี่ยงเบนจากพระธรรมวินัยเดิม โดยมีแรงกดดันจากสังคมและสื่อที่นำไปสู่การตัดสินโดยขาดกระบวนการอธิกรณ์ที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดไว้
โลกวัชชะ vs. ปัณณัตติกวัชชะ: ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้การปฏิบัติผิดเพี้ยนคือการตีความคำว่า “โลกวัชชะ” ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ “โลกติเตียน” ทั้งที่ความจริงแล้ว โลกวัชชะคือความผิดตามกฎหมายบ้านเมือง ส่วน “ปัณณัตติกวัชชะ” คือความผิดทางพระวินัย เมื่อสังคมไทยขยายความหมายของ “โลกวัชชะ” ไปอย่างผิดเพี้ยน การบังคับใช้กฎทางศาสนาจึงเบี่ยงเบนไปตามกระแส มากกว่าการยึดเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระพุทธองค์
ความเปราะบางของสมณเพศ
พระสงฆ์ในตำแหน่งบริหาร เช่น เจ้าอาวาส หรือเจ้าคณะมักต้องแบกรับภาระจำนวนมาก ทั้งค่าใช้จ่ายในการดูแลวัดและการบริหารจัดการโดยไร้การสนับสนุนเพียงพอ อีกทั้งยังเผชิญความเสี่ยงในการถูกแบล็กเมล กลั่นแกล้ง หรือแย่งชิงตำแหน่ง การลาสิกขาจึงกลายเป็นทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายศักดิ์ศรีของตนเองและพระพุทธศาสนาโดยรวม
แนวทางการสะสาง: สะสางอย่างเข้าใจ
การปฏิรูปหรือการ “สะสาง” คณะสงฆ์ควรตั้งอยู่บนฐานของพระธรรมวินัยเป็นแก่นแท้ ดังที่ Boonchuay Doojai ได้เสนอว่า “สะสางอย่างเข้าใจ ยึดพระธรรมวินัยเป็นแก่นแกน” โดยต้องเริ่มต้นจากภายในคณะสงฆ์เอง ผ่านกลไกและระบบที่เข้มแข็ง เช่น
-
ตั้งคณะทำงานภายในคณะสงฆ์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ค้นหาต้นตอ และกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม
-
ปรับระบบการบรรพชาและอุปัชฌาย์ โดยเน้นการอบรม สร้างระบบสังฆะที่เป็นกัลยาณมิตร
-
เน้นกระบวนการตามพระธรรมวินัย มากกว่าการตัดสินตามกระแสโซเชียล
-
สร้างกลไกสนับสนุนจากรัฐและสังคม โดยไม่ก้าวล่วงแก่นแท้ของพระธรรมวินัย
-
เสริมบทบาทวัดในฐานะศูนย์กลางสังคม เช่น ด้านการศึกษา วัฒนธรรม และสังคมสงเคราะห์
บทสรุป
พระพุทธศาสนาในไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งระหว่างการดำรงอยู่บนแก่นแท้ของพระธรรมวินัย กับการไหลไปตามกระแสความต้องการของสังคม การสะสางปัญหาคณะสงฆ์ไม่อาจอาศัยเพียงแรงกดดันภายนอก แต่ต้องอาศัยความเข้มแข็งภายในคณะสงฆ์เอง โดยมีพระธรรมวินัยเป็นหลักชัย
หากทำได้เช่นนี้ พระพุทธศาสนาจะสามารถพัฒนาอย่างถาวร และสืบทอดคุณค่าไปสู่ชนรุ่นหลังได้อย่างมั่นคง ไม่เพียงเพื่อรักษา “ศาสนา” แต่เพื่อคงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ของสังคมไทยโดยรวม
_0.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น