วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ความเป็นจริงที่ระบุว่าไม่มีสังคมใดที่จะเสียสละเพื่อบุคคลอื่นเท่าสังคมพระสงฆ์ไทย


พระพุทธศาสนาในประเทศไทยดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยมานับพันปี โดยมีพระสงฆ์เป็นสถาบันหลักทางศาสนาและวัฒนธรรม คำกล่าวของนาวาอากาศเอกสุรินทร์ คุ้มจันทร์ (30 มิถุนายน 2556) ที่ว่า “ผมยังไม่เคยเห็นสังคมไหนที่จะเสียสละเพื่อคนอื่นเท่าสังคมพระ” สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของพระสงฆ์ไทยในฐานะกลุ่มบุคคลที่ยอมสละวิถีชีวิตปกติ เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ อย่างไรก็ตาม แม้พระสงฆ์จะเป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละ แต่ก็กลับเผชิญปัญหาเรื่องสิทธิและสถานะความเป็นพลเมืองในหลายมิติ


1. พระสงฆ์กับการเสียสละในมิติทางสังคมและจิตวิญญาณ

การบวชเป็นพระมิได้เป็นเพียงการสืบต่อพระศาสนา แต่ยังเป็นการละทิ้งโลกียวิสัย เพื่อบำเพ็ญเพียรและทำหน้าที่สั่งสอนประชาชน พระสงฆ์ทุกองค์ที่เข้าสู่สมณเพศถือว่าละทิ้งสิทธิและความสะดวกสบายของปัจเจกบุคคล เพื่อดำรงอยู่ในกฎวินัยที่เคร่งครัดและอุทิศตนต่อสาธารณะ

  • พระสงฆ์ไม่ประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงชีพส่วนตน แต่ดำรงชีพด้วยบิณฑบาต ซึ่งแสดงถึงการพึ่งพิงเมตตาของสังคม

  • พระสงฆ์ต้องปฏิบัติตนในกรอบศีล 227 ข้อ อันเป็นภาระที่เข้มงวดกว่าคนทั่วไป

  • บทบาทการสั่งสอน การทำพิธีกรรม และการเป็นที่พึ่งทางใจแก่ชุมชน สะท้อนการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยตรง


2. พระสงฆ์กับการถูกจำกัดสิทธิในฐานะพลเมือง

แม้พระสงฆ์จะเป็นผู้สละโลก แต่ก็ยังคงมีสถานะ “มนุษย์” และ “พลเมือง” ในทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม สิทธิพื้นฐานหลายประการกลับถูกจำกัดหรือมองข้าม เช่น สิทธิเลือกตั้ง สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมักถูกอธิบายว่าไม่สอดคล้องกับวิถีสมณะ

ทองย้อย แสงสินชัย ได้เสนอข้อสังเกตว่า การเรียกร้องสิทธิของพระสงฆ์ควรมีการกำหนด “เกณฑ์ที่ชัดเจน” มิฉะนั้นจะเกิดข้อถกเถียงและการเรียกร้องที่ไม่สิ้นสุด หากไม่จัดวางสถานะอย่างเหมาะสม พระสงฆ์อาจถูกมองว่าเป็น “พลเมืองชั้นสอง” ที่แม้จะมีภาระเสียสละสูงสุด แต่กลับไม่มีสิทธิเสมอภาคเท่าพลเมืองทั่วไป


3. ความย้อนแย้งเชิงสังคม: เสียสละสูงสุด แต่สิทธิถูกจำกัด

ข้อเท็จจริงที่ปรากฏคือ สังคมไทยในเชิงโครงสร้างยังคงมองพระสงฆ์เป็นเพียงผู้รับใช้สังคม มากกว่าจะมองเป็น “พลเมืองที่สมบูรณ์” พระสงฆ์มักถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น

  • การไม่สามารถเข้าถึงสิทธิทางการเมืองโดยตรง

  • การตีความว่าพระสงฆ์ไม่ใช่ “ปัจเจกบุคคล” แต่เป็นเพียง “สมณชน” ที่ไม่มีเสียงทางการเมือง

  • การถูกสังคมคาดหวังให้อุทิศทุกสิ่งโดยไม่เว้นพื้นที่สิทธิส่วนตน

สิ่งนี้ก่อให้เกิดความย้อนแย้ง: พระสงฆ์ถูกยกย่องว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่เสียสละมากที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันกลับเป็นกลุ่มที่ถูกจำกัดสิทธิมากที่สุด


4. ข้อเสนอเชิงวิชาการ

เพื่อไม่ให้พระสงฆ์ถูกมองว่าเป็น “พลเมืองชั้นสอง” จำเป็นต้องมีแนวทางชัดเจนในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของพระสงฆ์ เช่น

  1. การกำหนดสิทธิทางการเมืองในระดับที่เหมาะสม เช่น อาจคงสิทธิเลือกตั้ง แต่จำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เพื่อป้องกันความขัดแย้งกับสถานะสมณะ

  2. การสร้างกลไกคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลของพระสงฆ์ เช่น สิทธิการเข้าถึงบริการสาธารณสุขหรือสิทธิความเป็นส่วนตัว

  3. การสื่อสารต่อสังคม ว่าพระสงฆ์มิใช่เพียงผู้เสียสละ แต่ยังเป็นมนุษย์ที่ควรได้รับการเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐาน


สรุป

คำกล่าวที่ว่า “ไม่มีสังคมใดที่จะเสียสละเพื่อบุคคลอื่นเท่าสังคมพระสงฆ์ไทย” มิได้เป็นเพียงถ้อยคำสวยหรู หากแต่สะท้อนความจริงเชิงโครงสร้างของสังคมไทย พระสงฆ์เสียสละทั้งสิทธิส่วนตนและความสะดวกสบายเพื่อชุมชนและพระศาสนา แต่กลับเผชิญข้อจำกัดด้านสิทธิและสถานะพลเมือง บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นว่า หากสังคมไทยต้องการความเป็นธรรมและความยั่งยืน จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่าง “การเสียสละ” และ “สิทธิมนุษยชน” ของพระสงฆ์ เพื่อให้บทบาทแห่งการเสียสละดำรงอยู่บนฐานแห่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...