วัดเป็นสถาบันสำคัญทางสังคมและศาสนาของไทยมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจ หากยังเป็นศูนย์รวมจิตใจ แหล่งการศึกษา และฐานวัฒนธรรมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น การบริหารจัดการวัดในปัจจุบัน จึงมิได้จำกัดอยู่เพียงด้านศาสนพิธี แต่ต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะความโปร่งใสและธรรมาภิบาลซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการธำรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชน
จากแนวคิดของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ผลักดันแนวทาง “วัดต้นแบบความโปร่งใส” ทำให้เกิดข้อเสนอทางวิชาการต่อรูปแบบการบริหารจัดการวัดที่สามารถสร้างความศรัทธาได้อย่างยั่งยืน
แนวคิด “วัดต้นแบบความโปร่งใส”
การสร้างวัดต้นแบบความโปร่งใสมีแกนสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
-
ด้านการปกครอง – เจ้าอาวาสและคณะกรรมการวัดต้องดำเนินงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มิใช่ประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
-
ด้านการเงินและทรัพย์สิน – ต้องมีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างเป็นระบบ ถูกต้อง และเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยใช้เงินเพื่อกิจการศาสนาและสาธารณประโยชน์เท่านั้น
-
ด้านการพัฒนาและบริการสาธารณะ – วัดควรพัฒนาเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ถ่ายทอดคุณธรรมและวัฒนธรรม พร้อมทั้งเป็นที่พึ่งพิงของชุมชนในยามปกติและยามวิกฤต
-
ด้านการกำกับตามกฎหมาย – การบริหารจัดการวัดต้องสอดคล้องกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันข้อพิพาทและคุ้มครองสิทธิของวัด
ปัญหาและความท้าทาย
แม้จะมีกรอบกฎหมายและพระธรรมวินัยกำกับ แต่ยังพบปัญหาในหลายมิติ เช่น
-
พระสงฆ์และกรรมการวัดบางแห่ง ขาดความรู้ด้านกฎหมาย และการเงิน
-
การจัดการทรัพย์สินไม่เป็นระบบ อาจก่อให้เกิดข้อสงสัยด้านความโปร่งใส
-
การใช้ที่ดินวัดผิดวัตถุประสงค์ เช่น การให้เช่าหรือใช้เพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์
-
ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน ขาดเอกภาพ ทำให้ไม่สามารถสร้างพลังร่วมอย่างยั่งยืน
แนวทางยกระดับวัดสู่ “วัดต้นแบบความโปร่งใส”
การพัฒนาวัดต้นแบบให้เกิดขึ้นจริงจำเป็นต้องบูรณาการหลายด้าน ได้แก่
-
การอบรมความรู้ด้านกฎหมายและการบริหาร ให้พระสงฆ์และคณะกรรมการวัดมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
-
การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบบัญชีออนไลน์ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและตรวจสอบได้
-
การมีส่วนร่วมของชุมชน ในการกำหนดทิศทางและตรวจสอบกิจการของวัด เพื่อสร้างเอกภาพ “ศาสนา–ชุมชน”
-
การสร้างต้นแบบและขยายผล เมื่อมีวัดที่สามารถทำได้อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ควรขยายผลไปยังวัดอื่นทั่วประเทศ เพื่อสร้างมาตรฐานร่วม
อภิปราย
การสร้าง “วัดต้นแบบความโปร่งใส” ไม่ได้เป็นเพียงการปรับปรุงระบบการบริหารวัด แต่เป็นการ “บริหารศรัทธา” ที่สอดคล้องกับคำกล่าวของรองนายกรัฐมนตรีฯ ว่า เมื่อศรัทธานั้นมั่นคง พระพุทธศาสนาก็จะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนในสังคมไทย การนำเทคโนโลยีและกฎหมายมาหนุนเสริม จะช่วยทำให้วัดมีความเข้มแข็งในเชิงโครงสร้าง ขณะเดียวกันก็ยังรักษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา
สรุป
รูปแบบ “วัดต้นแบบความโปร่งใสสร้างศรัทธาอย่างยั่งยืน” เป็นการบูรณาการพระธรรมวินัย กฎหมาย และเทคโนโลยี เข้ากับการบริหารจัดการวัด เพื่อให้วัดคงสถานะเป็นศูนย์กลางทางศาสนา การศึกษา และจิตใจของประชาชน แนวทางนี้ไม่เพียงสร้างระบบที่ตรวจสอบได้และโปร่งใส แต่ยังเป็นการเสริมสร้างศรัทธาของสาธารณชนต่อพระพุทธศาสนาให้มั่นคงและยั่งยืนสืบไป

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น