การปฏิรูปสังคมไทยมิได้จำกัดอยู่เพียงการเมืองหรือเศรษฐกิจ หากยังรวมถึงสถาบันศาสนาซึ่งมีบทบาทเป็นเสาหลักของชาติ คณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญวิกฤตหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมศรัทธาในหมู่ประชาชน ปัญหาการบริหารจัดการ การทุจริต หรือการไม่สามารถปรับตัวต่อโลกสมัยใหม่ ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนว่า คณะสงฆ์อยู่ในสภาวะ “ป่วย” และไม่สามารถยื้อระบบเดิมได้ตลอดไป
จากฐานคิดของ ดร.สุวิทย์ เมฆินทรีย์ การเผชิญหน้ากับ “ผู้ไม่อยากเปลี่ยน” — ไม่ว่าจะเป็น Deep State หรือ Deep Structure ในทางศาสนา — ล้วนเป็นโจทย์เดียวกัน ศิลปะการเปลี่ยนใจผู้ไม่อยากเปลี่ยน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการนำคณะสงฆ์จาก “ภาวะป่วย” สู่ “จุดเปลี่ยนที่เลี่ยงไม่ได้”
1. ตรรกะการเอาตัวรอดของโครงสร้างคณะสงฆ์
คล้ายกับรัฐพันลึก คณะสงฆ์จำนวนหนึ่งยังคงขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด มากกว่าการมุ่งสร้างคุณค่าแก่ศาสนิกชน ได้แก่
-
ตรรกะแห่งการควบคุม : รักษาอำนาจการปกครองและกฎระเบียบสงฆ์
-
ตรรกะแห่งการป้องกัน : กันตนเองจากแรงกดดันสังคมหรือการตรวจสอบ
-
ตรรกะแห่งการดูดทรัพยากร : ใช้ทรัพย์สินและสถาบันศาสนาเลี้ยงระบบอุปถัมภ์
ดังนั้น การเปลี่ยนใจไม่อาจอธิบายด้วยอุดมคติศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำให้เห็นว่า ตรรกะเดิมนำไปสู่หายนะทั้งต่อคณะสงฆ์เองและต่อศาสนาในภาพรวม
2. จุดเปลี่ยนที่เลี่ยงไม่ได้ของคณะสงฆ์
ดร.สุวิทย์ ชี้ว่า จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อโครงสร้างเดิมไปต่อไม่ได้ สำหรับคณะสงฆ์ไทย จุดเปลี่ยนสำคัญประกอบด้วย:
-
วิกฤตศรัทธา – ประชาชนลดการทำบุญ วัดร้าง ผู้คนหันไปพึ่งจิตวิญญาณรูปแบบใหม่
-
แรงกดดันทางสังคม – สื่อและสังคมออนไลน์เปิดโปงกรณีทุจริตหรือประพฤติผิดซ้ำๆ
-
ความท้าทายจากโลกาภิวัตน์ – แนวคิดเสรีนิยมและศาสนาอื่นเข้ามาท้าทายบทบาทพุทธศาสนา
-
ความขัดแย้งภายใน – สายการปกครองและผลประโยชน์ในหมู่พระชั้นผู้ใหญ่แตกแยก
-
วิกฤตเชิงสัญลักษณ์ – เหตุการณ์ที่สะเทือนศรัทธา เช่น คดีอื้อฉาวใหญ่หรือวัดสำคัญถูกวิพากษ์
ปัจจัยเหล่านี้คือสัญญาณเตือนว่า หากคณะสงฆ์ไม่ยอมเปลี่ยน โครงสร้างทั้งหมดอาจพังทลายลงมาทับผู้รักษามันเอง
3. กลยุทธ์การโน้มน้าวสามชั้น
(A) เรื่องเล่าเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
-
หากไม่ปฏิรูป คณะสงฆ์จะสูญเสียทั้งศรัทธาและอำนาจ
-
บทเรียนจากศาสนจักรในต่างประเทศที่เสื่อมอำนาจเพราะดื้อรั้น
-
ใช้ข้อมูลจริง เช่น จำนวนพระลดลง วัดร้างเพิ่มขึ้น ศรัทธาในคนรุ่นใหม่หายไป
(B) ทางลงที่ปลอดภัยและเกียรติยศใหม่
-
การเปลี่ยนไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่คือการ “ถอยเชิงกลยุทธ์”
-
เสนอภาพลักษณ์ใหม่ในฐานะ “คณะสงฆ์ผู้กล้าปฏิรูป”
-
เปลี่ยนจาก “ผู้กอดระบบเดิม” เป็น “ผู้สถาปนายุคใหม่ของศาสนาไทย”
(C) พันธะอยู่รอดร่วมกัน
-
โลกป่วน ศาสนาไม่อาจอยู่รอดโดยลำพัง
-
หากแข่งขันกันเอง จะเปิดช่องให้ศาสนาอื่นแทรกซึม
-
เสนอ “อยู่รอดร่วมกัน” ระหว่างสงฆ์และฆราวาส เพื่อรักษาศาสนาและสถานะสงฆ์ไปพร้อมกัน
4. วิธีเดินเกมในสนามจริง
-
ใช้วิกฤตศรัทธาและแรงกดดันสังคมเป็น หน้าต่างโอกาส
-
ทำให้การเปลี่ยนแปลง เจ็บแต่คุมได้ เช่น ปรับโครงสร้างการเงินวัดแต่ยังรักษาหน้าพระผู้ใหญ่
-
ผูกผลลัพธ์การเปลี่ยนกับสิ่งที่จับต้องได้ เช่น ศรัทธากลับมา การบริจาคเพิ่มขึ้น
-
ใช้ต้นแบบเชิงบวก เช่น ญี่ปุ่นสมัยเมจิที่ปฏิรูปศาสนากับการพัฒนา
5. จุดเปลี่ยนเชิงบวกสำหรับคณะสงฆ์
-
แผนปฏิรูปศาสนา : พัฒนาระบบการศึกษา ปรับโครงสร้างการเงิน และสร้างพระนักพัฒนาชุมชน
-
ข้อตกลงใหม่ระหว่างสงฆ์–รัฐ–ฆราวาส : จัดสมดุลอำนาจและบทบาทในการพัฒนาสังคม
-
เรื่องเล่ากลางเพื่ออนาคตร่วม : ศาสนาที่ผสาน “เศรษฐกิจพอเพียง + เทคโนโลยี + คุณธรรม”
6. กลยุทธ์การสื่อสาร
-
จาก “เสียอำนาจ” → “ยกระดับบทบาทสงฆ์”
-
จาก “ถูกบังคับเปลี่ยน” → “เลือกปฏิรูปก่อนถูกกดดัน”
-
จาก “แพ้ในระบบเดิม” → “ชนะในบทบาทใหม่ที่ตอบโจทย์สังคม”
บทสรุป
ศิลปะการเปลี่ยนใจคณะสงฆ์ที่ไม่อยากเปลี่ยน มิใช่การใช้เหตุผลเชิงนโยบายหรือหลักธรรมเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการ “เปลี่ยนแรงจูงใจ” ผ่าน 3 เงื่อนไขสำคัญ คือ
-
ทำให้การยึดระบบเดิมมีต้นทุนสูงขึ้นทุกวัน
-
ทำให้อดีตใหม่ดูน่าอยู่และปลอดภัยกว่า
-
มีตัวกลางที่น่าเชื่อถือ รับประกันว่าการเปลี่ยนไม่ใช่กับดัก
ประโยคปิดเกมตามฐานคิด ดร.สุวิทย์:
“นี่ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่คือการเลือกอยู่รอดในโลกใหม่ — ในแบบที่คณะสงฆ์ยังรักษาศรัทธา เกียรติยศ และบทบาททางสังคมที่ยั่งยืนกว่าเดิม”

.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น