วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์รูปแบบการป้องกันประเทศจากภัยรุกราน: ศึกษากรณีเหตุปะทะแนวชายแดนไทย–กัมพูชา

 


การป้องกันประเทศเป็นภารกิจสำคัญของรัฐชาติในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน เหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในหลายห้วงเวลา โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและแนวชายแดนใกล้เคียง เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นทั้ง ศักยภาพทางทหาร และ กลไกสังคม ที่เข้ามามีบทบาทสนับสนุนการป้องกันประเทศ

ในขณะที่กองทัพไทยมีแผนยุทธศาสตร์และรูปแบบการป้องกันที่ชัดเจน แต่หลายมิติของสังคมไทย เช่น สถาบันสงฆ์ ชุมชน และภาคประชาสังคม ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น “กองหนุน” ในการเสริมสร้างขวัญกำลังใจและสนับสนุนภารกิจของรัฐ ทว่าคำถามสำคัญคือ รูปแบบการป้องกันประเทศควรจะมีลักษณะอย่างไรจึงจะเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า?

1. บริบทของเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา

เหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเกิดขึ้นจากข้อพิพาททางประวัติศาสตร์และอธิปไตย โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่มีความซับซ้อนทางกฎหมายระหว่างประเทศ ปัญหานี้มิได้มีลักษณะทางการทหารเพียงมิติเดียว แต่ยังแฝงด้วยมิติทางการทูต วัฒนธรรม และความรู้สึกของประชาชนชายแดนทั้งสองฝั่ง

2. รูปแบบการป้องกันประเทศของรัฐไทย

ประเทศไทยใช้แนวคิด “การป้องกันประเทศเชิงรุก-เชิงรับ” โดยประกอบด้วย

  • การเตรียมกำลังทางทหาร: การตรึงกำลังตามแนวชายแดน การลาดตระเวน และการสร้างระบบป้องกันขั้นพื้นฐาน

  • การทูตควบคู่กับการทหาร: การเจรจาในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เช่น อาเซียน และการยอมรับคำวินิจฉัยศาลโลก

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชายแดน: เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ลดโอกาสการปลุกปั่นหรือสร้างเงื่อนไขทางความมั่นคง

3. มิติของภาคประชาชนและสถาบันสงฆ์

แม้ทหารจะมีระบบป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ สถาบันสงฆ์และชุมชน ก็สามารถเป็น “กองหนุนเชิงสัญลักษณ์และเชิงสังคม” ได้ ตัวอย่างเช่น

  • การเปรียบเทียบกับครูบาศรีวิชัย ที่มิได้ออกหน้าด้านการทหาร แต่สร้างขวัญกำลังใจและเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน

  • บทบาทพระสงฆ์หรือผู้นำศาสนาในการเยียวยาจิตใจ ให้กำลังใจครอบครัวทหารและประชาชนในพื้นที่

  • การเป็นแกนกลางระดมทรัพยากรและความช่วยเหลือ โดยใช้ศรัทธาของสังคมเพื่อสนับสนุนแนวหน้า

สิ่งนี้สะท้อนว่า การป้องกันประเทศไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่กองทัพ หากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศโดยประชาชนทั้งมวล” (Total Defense)

4. ข้อสังเกตต่อรูปแบบการป้องกันประเทศในอนาคต

จากกรณีศึกษาเหตุปะทะชายแดน พบว่ามาตรการที่ดำเนินไปหลายครั้งยังมีลักษณะเป็น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การจัดกิจกรรมช่วยเหลือหรือการเคลื่อนย้ายกำลังเร่งด่วน โดยยังไม่พัฒนาเป็น รูปแบบที่ชัดเจนและยั่งยืน
ข้อเสนอเชิงวิชาการ ได้แก่

  • สร้าง “โมเดลการป้องกันประเทศ” ที่บูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่กองทัพ การทูต ศาสนา และภาคประชาชน

  • ยกระดับ “กองหนุนทางสังคม” เช่น คณะสงฆ์ ให้มีบทบาทในเชิงจิตวิทยามวลชนมากขึ้น

  • วางระบบการสื่อสารสาธารณะเพื่อลดความเข้าใจผิดและสร้างเอกภาพของชาติ

  • สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และชายแดนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจปัญหาและมีส่วนร่วมในการป้องกันประเทศ

บทสรุป

การป้องกันประเทศมิใช่เพียงหน้าที่ของกองทัพ แต่คือ ภารกิจร่วมของรัฐและสังคม เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นว่าความมั่นคงต้องอาศัยทั้งกำลังรบ กำลังใจ และกำลังศรัทธาของประชาชน หากสามารถยกระดับบทบาทของทุกภาคส่วนจากมาตรการเฉพาะหน้าไปสู่ รูปแบบป้องกันประเทศที่ชัดเจนและยั่งยืน ก็จะเป็นหลักประกันที่มั่นคงต่อเอกราชและความสงบสุขของประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...