การป้องกันประเทศเป็นภารกิจสำคัญของรัฐชาติในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน เหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในหลายห้วงเวลา โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและแนวชายแดนใกล้เคียง เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนให้เห็นทั้ง ศักยภาพทางทหาร และ กลไกสังคม ที่เข้ามามีบทบาทสนับสนุนการป้องกันประเทศ
ในขณะที่กองทัพไทยมีแผนยุทธศาสตร์และรูปแบบการป้องกันที่ชัดเจน แต่หลายมิติของสังคมไทย เช่น สถาบันสงฆ์ ชุมชน และภาคประชาสังคม ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น “กองหนุน” ในการเสริมสร้างขวัญกำลังใจและสนับสนุนภารกิจของรัฐ ทว่าคำถามสำคัญคือ รูปแบบการป้องกันประเทศควรจะมีลักษณะอย่างไรจึงจะเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า?
1. บริบทของเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา
เหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาเกิดขึ้นจากข้อพิพาททางประวัติศาสตร์และอธิปไตย โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่มีความซับซ้อนทางกฎหมายระหว่างประเทศ ปัญหานี้มิได้มีลักษณะทางการทหารเพียงมิติเดียว แต่ยังแฝงด้วยมิติทางการทูต วัฒนธรรม และความรู้สึกของประชาชนชายแดนทั้งสองฝั่ง
2. รูปแบบการป้องกันประเทศของรัฐไทย
ประเทศไทยใช้แนวคิด “การป้องกันประเทศเชิงรุก-เชิงรับ” โดยประกอบด้วย
-
การเตรียมกำลังทางทหาร: การตรึงกำลังตามแนวชายแดน การลาดตระเวน และการสร้างระบบป้องกันขั้นพื้นฐาน
-
การทูตควบคู่กับการทหาร: การเจรจาในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เช่น อาเซียน และการยอมรับคำวินิจฉัยศาลโลก
-
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชายแดน: เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ลดโอกาสการปลุกปั่นหรือสร้างเงื่อนไขทางความมั่นคง
3. มิติของภาคประชาชนและสถาบันสงฆ์
แม้ทหารจะมีระบบป้องกันประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ สถาบันสงฆ์และชุมชน ก็สามารถเป็น “กองหนุนเชิงสัญลักษณ์และเชิงสังคม” ได้ ตัวอย่างเช่น
-
การเปรียบเทียบกับครูบาศรีวิชัย ที่มิได้ออกหน้าด้านการทหาร แต่สร้างขวัญกำลังใจและเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คน
-
บทบาทพระสงฆ์หรือผู้นำศาสนาในการเยียวยาจิตใจ ให้กำลังใจครอบครัวทหารและประชาชนในพื้นที่
-
การเป็นแกนกลางระดมทรัพยากรและความช่วยเหลือ โดยใช้ศรัทธาของสังคมเพื่อสนับสนุนแนวหน้า
สิ่งนี้สะท้อนว่า การป้องกันประเทศไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่ที่กองทัพ หากแต่เป็น “ยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศโดยประชาชนทั้งมวล” (Total Defense)
4. ข้อสังเกตต่อรูปแบบการป้องกันประเทศในอนาคต
จากกรณีศึกษาเหตุปะทะชายแดน พบว่ามาตรการที่ดำเนินไปหลายครั้งยังมีลักษณะเป็น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การจัดกิจกรรมช่วยเหลือหรือการเคลื่อนย้ายกำลังเร่งด่วน โดยยังไม่พัฒนาเป็น รูปแบบที่ชัดเจนและยั่งยืน
ข้อเสนอเชิงวิชาการ ได้แก่
-
สร้าง “โมเดลการป้องกันประเทศ” ที่บูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่กองทัพ การทูต ศาสนา และภาคประชาชน
-
ยกระดับ “กองหนุนทางสังคม” เช่น คณะสงฆ์ ให้มีบทบาทในเชิงจิตวิทยามวลชนมากขึ้น
-
วางระบบการสื่อสารสาธารณะเพื่อลดความเข้าใจผิดและสร้างเอกภาพของชาติ
-
สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และชายแดนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจปัญหาและมีส่วนร่วมในการป้องกันประเทศ
บทสรุป
การป้องกันประเทศมิใช่เพียงหน้าที่ของกองทัพ แต่คือ ภารกิจร่วมของรัฐและสังคม เหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาเป็นบทเรียนที่ชี้ให้เห็นว่าความมั่นคงต้องอาศัยทั้งกำลังรบ กำลังใจ และกำลังศรัทธาของประชาชน หากสามารถยกระดับบทบาทของทุกภาคส่วนจากมาตรการเฉพาะหน้าไปสู่ รูปแบบป้องกันประเทศที่ชัดเจนและยั่งยืน ก็จะเป็นหลักประกันที่มั่นคงต่อเอกราชและความสงบสุขของประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น