การปฏิรูปการเมืองและสังคมไทยเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน ปัญหาใหญ่ไม่ใช่เพียงการออกแบบนโยบายใหม่ แต่คือการเผชิญหน้ากับ “ผู้มีอำนาจที่ไม่อยากเปลี่ยน” หรือโครงสร้าง รัฐพันลึก (Deep State) ที่ดำรงอยู่ด้วยผลประโยชน์และกลไกการควบคุมแบบเดิมๆ อย่างไรก็ตาม โลกยุคปัจจุบันกลับเต็มไปด้วยความปั่นป่วน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทำให้ประเทศไทยติดอยู่ในสภาวะที่ “โลกป่วน–ไทยป่วย” และไม่สามารถยื้อเวลาไปได้ตลอดกาล
จากมุมมองของ ดร.สุวิทย์ เมฆินทรีย์ คำถามเชิงโครงสร้างจึงไม่ใช่ “จะปฏิรูปหรือไม่” แต่คือ “จะเลือกปฏิรูปก่อน หรือจะถูกบังคับให้ปฏิรูปหลังจากระบบพังครืนลงมา” ซึ่งนี่คือศิลปะการโน้มน้าวและเปลี่ยนใจผู้ที่ไม่อยากเปลี่ยน — การทำให้เห็นว่า ต้นทุนของการดื้อดึงสูงกว่าการเปลี่ยน
1. ตรรกะการเอาตัวรอด (Logic of Survival)
Deep State ขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดมากกว่าเหตุผลเชิงนโยบาย ได้แก่
-
ตรรกะแห่งการควบคุม : การยึดอำนาจและกติกาเป็นหลักประกัน
-
ตรรกะแห่งการป้องกัน : การกันตนเองจากภัยคุกคาม
-
ตรรกะแห่งการดูดทรัพยากร : การเลี้ยงระบบอุปถัมภ์
ดังนั้น การเปลี่ยนใจไม่อาจทำได้ด้วยเหตุผลเชิงอุดมคติ หากแต่ต้องทำให้ผู้มีอำนาจตระหนักว่า ตรรกะเดิมกำลังพาไปสู่หายนะ และเส้นทางใหม่ต่างหากที่จะมอบ “ความปลอดภัย” และ “สถานะที่ยั่งยืนกว่า”
2. จุดเปลี่ยนที่เลี่ยงไม่ได้ (Trigger Point)
ดร.สุวิทย์ ชี้ว่า จุดเปลี่ยนคือช่วงเวลาที่ระบบเดิมไปต่อไม่ได้ และผู้มีอำนาจถูกบังคับให้เลือกว่าจะ “เปลี่ยน” หรือจะ “พังไปด้วยกัน” ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเผชิญ 5 จุดเปลี่ยนสำคัญ ได้แก่:
-
เศรษฐกิจช็อก – การลงทุนหาย แรงงานหนีออกนอก
-
สังคมเดือด – การประท้วงและความไม่พอใจที่ควบคุมไม่ได้
-
แรงกดดันภูมิรัฐศาสตร์ – ไทยเสี่ยงถูกบีบเป็นห่วงโซ่อ่อนที่สุด
-
ขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำ – ระบบอุปถัมภ์แตกหักจากภายใน
-
วิกฤตเชิงสัญลักษณ์ – ผลสอบตก เศรษฐกิจถดถอย หรือภัยพิบัติที่ทำให้ไทยเสียหน้าโลก
ทุกปัจจัยคือ “สัญญาณเตือน” ที่หากยังดื้อดึง ระบบจะถล่มทับผู้เกาะกุมอำนาจเอง
3. กลยุทธ์การโน้มน้าวสามชั้น (Triple Layer Persuasion)
ดร.สุวิทย์เสนอศิลปะการเปลี่ยนใจผู้ไม่อยากเปลี่ยน ผ่านการโน้มน้าว 3 ชั้น คือ:
(A) เรื่องเล่าเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
-
ถ้าไม่ปรับวันนี้ จะสูญเสียมากกว่าที่เคยมี
-
ยกบทเรียนผู้นำต่างประเทศที่ล่มสลายเพราะดื้อรั้น (มาร์กอส, ซูฮาร์โต)
-
ใช้ข้อเท็จจริงกดดัน เช่น เศรษฐกิจทรุด โลกไม่เชื่อมั่น
(B) ทางลงที่ปลอดภัยและเกียรติยศใหม่
-
การเปลี่ยนไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่คือการถอยเชิงกลยุทธ์
-
เสนอภาพลักษณ์ใหม่ในฐานะ “สถาปนิกแห่งยุคใหม่”
-
ให้เกียรติฐานะ “ผู้นำผู้กล้าปฏิรูป” แทน “ผู้กอดซากจนจม”
(C) พันธะอยู่รอดร่วมกัน
-
โลกไร้พรมแดน ไม่มีใครรอดลำพัง
-
หากแย่งชิงกันเองจะเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำ
-
จึงต้องเสนอ “อยู่รอดร่วมกัน” ที่รักษาประเทศและสถานะของชนชั้นนำไปพร้อมกัน
4. วิธีเดินเกมในสนามจริง (Tactical Moves)
ศิลปะเชิงปฏิบัติในการเปลี่ยนใจ คือการเลือก “สนามและจังหวะ” ที่ถูกต้อง เช่น
-
ใช้วิกฤตเศรษฐกิจหรือความมั่นคงเป็น หน้าต่างโอกาส
-
ทำให้การเปลี่ยนเป็น เจ็บแต่คุมได้
-
ผูกผลดีระยะยาวเข้ากับผลลัพธ์จับต้องได้ เช่น นักลงทุนกลับมา
-
ใช้ต้นแบบเพื่อนบ้านที่ถอยอย่างมีศักดิ์ศรี เช่น ชิลี หรือสเปน
5. จุดเปลี่ยนเชิงบวก (Positive Trigger)
แทนที่จะรอให้ “จุดเปลี่ยนบังคับ” มาถล่ม ประเทศไทยควรสร้าง “จุดเปลี่ยนเชิงบวก” ที่จูงใจให้ Deep State เปลี่ยนด้วยตนเอง ได้แก่
-
แผนปฏิรูปทั้งระบบ : ดึงทุน เทคโนโลยี และความเชื่อมั่นกลับมา (เช่น Doi Moi ของเวียดนาม, Meiji ของญี่ปุ่น)
-
ข้อตกลงใหญ่ระหว่างชนชั้นนำ : ดีลการเมืองแบบ CODESA ของแอฟริกาใต้
-
เรื่องเล่ากลางเพื่ออนาคตร่วม : ผสม “เศรษฐกิจพอเพียง + เทคโนโลยี + คุณธรรม”
6. กลยุทธ์การสื่อสาร (Messaging Strategy)
สารที่จะโน้มน้าวต้องสื่อสารในมิติที่กลับด้าน เช่น:
-
จาก “เสียอำนาจ” → “ยกระดับอำนาจ”
-
จาก “ถูกบังคับเปลี่ยน” → “เลือกเปลี่ยนก่อนถูกเปลี่ยน”
-
จาก “แพ้ในเกมเก่า” → “ชนะในเกมโลกใหม่”
บทสรุป
ศิลปะการเปลี่ยนใจผู้ไม่อยากเปลี่ยน ไม่ได้อยู่ที่การยกเหตุผลเชิงนโยบาย หากแต่เป็นการ “เปลี่ยนแรงจูงใจ” ผ่าน 3 เงื่อนไขสำคัญ คือ
-
ทำให้ต้นทุนของการยึดระบบเดิมสูงขึ้นทุกวัน
-
ทำให้อนาคตใหม่ดูน่าอยู่กว่าทางเลือกอื่น
-
มีตัวกลางที่น่าเชื่อถือ รับประกันว่าดีลการเปลี่ยนไม่ใช่กับดัก
ประโยคปิดเกมตามแนวคิดของ ดร.สุวิทย์:
“นี่ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่คือการเลือกอยู่รอดในโลกใหม่ — ในแบบที่ยังรักษาสถานะ เกียรติยศ และอำนาจที่ยั่งยืนกว่าเดิม”
.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น