การจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F จำนวน 4 ลำแรก มูลค่า 19,500 ล้านบาท จากสวีเดน เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 นับเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของกองทัพอากาศไทยเพื่อทดแทนเครื่องบิน F-16 ที่ประจำการมานานกว่า 37 ปี การลงนามครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการป้องกันประเทศ แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือด้านยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสวีเดน รวมถึงการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ผ่าน Offset Policy และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่มุ่งให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาวต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กรณีดังกล่าวภายใต้ หลักสันติวิธี (Peaceful Principles) ซึ่งเน้นการป้องกันตนเอง การสร้างความมั่นคงอย่างสันติ และการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรอบด้าน
1. มิติทางยุทธศาสตร์และความมั่นคง
การจัดซื้อ Gripen E/F เป็นการเสริมความสามารถในการปกป้องประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอ่าวไทย ผบ.ทอ. พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ยืนยันว่าเครื่องบิน Gripen สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้งเชิงป้องกันและโจมตีภายใต้หลักสากลของการใช้กำลังทางอากาศ (Use of Force in International Law) ซึ่งสะท้อน หลักสันติวิธีในการป้องกันตนเอง (Defensive Peace Principle) โดยไม่มุ่งรุกรานหรือสร้างความตึงเครียดเพิ่มเติมต่อประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ การจัดหา Gripen ผ่านการลงนามแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G-to-G) และการมีสักขีพยานจากรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมระหว่างประเทศ ว่าไทยปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและเคารพหลักความมั่นคงอย่างสันติ
2. หลักสันติวิธีและการป้องกันตนเองเชิงรุก
แม้เครื่องบิน Gripen จะสามารถใช้โจมตีได้ แต่การวางกรอบของโครงการ “Peace Burapha” ชี้ชัดว่า เป้าหมายหลักคือการป้องกันประเทศ ไม่ใช่การขยายอำนาจรบ การปฏิบัติภารกิจจึงยึดตามหลักสากล ซึ่งสอดคล้องกับหลักสันติวิธีที่เน้นการแก้ไขความขัดแย้งโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นและลดความเสี่ยงการบานปลายของความขัดแย้ง
กรณีนี้สามารถพิจารณาเป็นตัวอย่างของ การเตรียมพร้อมทางทหารในเชิงป้องกัน โดยไม่ละเมิดหลักสันติวิธี (Non-Aggression Principle) และสร้างความสมดุลระหว่างความจำเป็นทางยุทธศาสตร์กับความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ
3. มิติเศรษฐกิจและ Offset Policy
Offset Policy ที่รวมอยู่ในการลงนามครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม การลงทุนในโครงการ Gripen จึงไม่ได้เป็นเพียงการเสริมสร้างกำลังทางอากาศ แต่ยังเป็นการ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจแบบสันติ (Economic Peacebuilding) ผ่านการพัฒนากำลังคน นวัตกรรม และอุตสาหกรรมภายในประเทศ
การบูรณาการ Offset Policy ช่วยให้การจัดซื้ออาวุธมี ผลตอบแทนต่อประเทศสูงสุด และสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับสวีเดนในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดสันติวิธีที่เน้นการสร้างความร่วมมือและลดความตึงเครียดผ่านการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
4. การสื่อสารและความโปร่งใส
การประกาศความโปร่งใสและชัดเจนต่อสาธารณะ เป็นองค์ประกอบสำคัญของสันติวิธีในการบริหารความขัดแย้ง (Conflict Management through Transparency) ผบ.ทอ.และกระทรวงการต่างประเทศไทยได้ให้ข้อมูลต่อสาธารณะถึงขั้นตอนการจัดซื้อ การส่งมอบ และการใช้ประโยชน์จากเครื่องบิน Gripen ซึ่งช่วยลด ความเข้าใจผิดและความตึงเครียดระหว่างประเทศและภายในประเทศ
การสื่อสารอย่างเปิดเผยยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนและประชาคมโลก ว่าไทยดำเนินนโยบายความมั่นคงอย่างรับผิดชอบและสอดคล้องกับหลักสันติวิธี
5. บทสรุปเชิงสันติวิธี
กรณีการจัดซื้อ Gripen E/F จากสวีเดนสะท้อนถึงการนำ หลักสันติวิธีมาใช้ในความมั่นคงระดับชาติ ผ่านสามมิติสำคัญ ได้แก่
-
การป้องกันตนเอง: ใช้กำลังทางอากาศเพื่อปกป้องประเทศโดยไม่รุกรานใคร
-
การสร้างความร่วมมือและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ: ผ่าน Offset Policy และการถ่ายทอดเทคโนโลยี
-
การสื่อสารและความโปร่งใส: สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนและประชาคมระหว่างประเทศ
การลงทุนครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของกำลังทหาร แต่ยังสะท้อน การจัดการความขัดแย้งเชิงสันติวิธี (Peaceful Conflict Management) โดยผสมผสานการป้องกันประเทศ ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีวิสัยทัศน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น