เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มติแต่งตั้งนางอุดมพร เอกเอี่ยม รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีประสบการณ์ในตำแหน่งบริหารระดับสูง (ระดับ 10) มาตั้งแต่ปี 2560 ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ระดับ 11) แทนตำแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ รองรับภารกิจที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
วิเคราะห์มติคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง “อุดมพร เอกเอี่ยม” ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติคนใหม่
บทนำ
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติแต่งตั้ง นางอุดมพร เอกเอี่ยม รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง (ระดับ 10) ตั้งแต่ปี 2560 ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระดับ 11 แทนตำแหน่งที่ว่างลง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การบริหารงานด้านพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เหตุการณ์นี้มิใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในเชิงบุคคล หากยังสะท้อนถึง พลวัตของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา ตลอดจนการปรับตัวของกลไกทางราชการเพื่อรองรับภารกิจที่ซับซ้อนในยุคที่ศาสนากำลังเผชิญความท้าทายหลายประการ
1. บทบาทของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
พศ. ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2545 ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีหน้าที่หลักคือการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ดูแลกิจการคณะสงฆ์ กำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณทางศาสนา และเป็นตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พศ. ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง เช่น
-
ข้อถกเถียงเรื่องความโปร่งใสในการบริหารงบประมาณศาสนา
-
การกำกับดูแลวัดและพระสงฆ์ในกรณีอื้อฉาว
-
ความคาดหวังจากสังคมที่ให้ศาสนามีบทบาทตอบสนองต่อปัญหาสังคมยุคใหม่
ดังนั้น ผู้อำนวยการ พศ. จึงไม่ใช่เพียงผู้จัดการหน่วยงาน แต่เป็น “ผู้กำหนดทิศทาง” ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ–ศาสนาในเชิงนโยบาย
2. คุณสมบัติและประสบการณ์ของนางอุดมพร เอกเอี่ยม
การแต่งตั้งนางอุดมพร ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการบริหารในตำแหน่งรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2560 แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลมุ่งหวังให้ พศ. ได้รับการขับเคลื่อนโดยผู้ที่มี ความเชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณะและการบริหารราชการแผ่นดิน มากกว่าการคัดเลือกจากสายงานพระพุทธศาสนาโดยตรง
ข้อได้เปรียบสำคัญของนางอุดมพรคือ
-
ความรู้ด้านโครงสร้างการทำงานของ ครม. และระบบราชการระดับสูง
-
ประสบการณ์การประสานงานเชิงนโยบาย ซึ่งจำเป็นต่อการเชื่อมโยง พศ. กับหน่วยงานอื่น
-
ศักยภาพในการจัดการกับภารกิจซับซ้อน โดยเฉพาะการปฏิรูปกลไกด้านศาสนาให้ตอบสนองต่อความโปร่งใสและความคาดหวังของสาธารณชน
3. นัยสำคัญเชิงโครงสร้างและนโยบาย
-
การเน้นความต่อเนื่องและประสิทธิภาพ – มติ ครม. ครั้งนี้มุ่งให้ พศ. เดินหน้าโดยไม่สะดุด ท่ามกลางสถานการณ์ที่พระพุทธศาสนาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสังคม
-
การส่งสัญญาณเชิงนโยบาย – การเลือกผู้บริหารที่มาจากระบบราชการกลาง สะท้อนว่ารัฐบาลต้องการ “วางระบบ” การกำกับพระพุทธศาสนาในกรอบความโปร่งใส มากกว่าการยึดโยงกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในคณะสงฆ์
-
การปรับตัวต่อความซับซ้อน – การบริหารศาสนาในปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่กิจการภายในวัด แต่ครอบคลุมประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และการเมือง ทำให้จำเป็นต้องมีผู้นำองค์กรที่มองภาพรวมได้กว้าง
4. ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า
แม้การแต่งตั้งครั้งนี้จะสร้างความคาดหวัง แต่ผู้อำนวยการ พศ. คนใหม่ก็ต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ ได้แก่
-
การสร้างกลไกตรวจสอบการใช้งบประมาณและการบริจาคอย่างโปร่งใส
-
การประสานระหว่างคณะสงฆ์กับรัฐในประเด็นอ่อนไหว
-
การตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยที่มีศาสนาความเชื่อหลากหลายมากขึ้น
-
การสร้างสมดุลระหว่าง “การอุปถัมภ์” และ “การกำกับดูแล” ศาสนา
บทสรุป
การแต่งตั้งนางอุดมพร เอกเอี่ยม เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในความสัมพันธ์รัฐ–ศาสนา โดยแสดงถึงการเน้นย้ำบทบาทของ ผู้บริหารสายราชการมืออาชีพ ในการขับเคลื่อนนโยบายด้านพระพุทธศาสนาในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทายและข้อกังขาเรื่องความโปร่งใส
ความสำเร็จของการดำรงตำแหน่งครั้งนี้จะไม่เพียงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ พศ. เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความสามารถของรัฐไทยในการปรับตัวต่อการบริหารกิจการศาสนาในโลกสมัยใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น