วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2568

แนวทางการรีเซ็ตการเมืองไทยใหม่แก้วิกฤติความชอบธรรม



สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญ “วิกฤติความชอบธรรม” ซึ่งสะท้อนผ่านปัญหาโครงสร้างทางรัฐธรรมนูญ ความไม่ไว้วางใจในสถาบันการเมือง และความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ที่ซ้ำซาก โดยกรณีการเจรจาระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคประชาชน (ปชน.) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ซึ่งยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงที่ชัดเจน สะท้อนถึงแรงกดดันให้สังคมหันกลับมาตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการ “รีเซ็ตการเมืองใหม่” เพื่อวางรากฐานของความโปร่งใส ความยุติธรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย


1. ความหมายและมิติของการรีเซ็ตการเมืองใหม่

การรีเซ็ตการเมืองใหม่มิได้หมายถึงเพียงการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่หมายถึงการปรับโครงสร้างการเมืองให้ตอบโจทย์สังคมในระยะยาว โดยประกอบด้วย 3 มิติสำคัญ

  1. มิติรัฐธรรมนูญและกติกา

    • การแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อลดอำนาจสถาบันที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เช่น วุฒิสภา

    • การเพิ่มกลไกตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเป็นระบบ

  2. มิติพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง

    • การปฏิรูประบบเลือกตั้งเพื่อลดปัญหาการซื้อเสียงและการบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน

    • การสร้างพรรคการเมืองที่มีความเข้มแข็งและโปร่งใส

  3. มิติคุณธรรมทางการเมือง

    • การยกระดับมาตรฐานจริยธรรมของนักการเมือง

    • การป้องกันการทุจริตด้วยมาตรการทั้งทางกฎหมายและทางสังคม


2. ข้อถกเถียงเชิงการเมืองในบริบทปัจจุบัน

บรรยากาศการเจรจาทางการเมืองในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงความไม่มั่นคงเชิงโครงสร้าง เช่น การวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของวุฒิสภา หรือการตั้งคำถามต่อการ “ฮั้ว ส.ว.” ที่ถูกมองว่าอันตรายยิ่งกว่าการรัฐประหาร สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า ปัญหาการเมืองไทยไม่ได้จำกัดอยู่ที่การแข่งขันเชิงอำนาจระหว่างพรรค แต่คือความไม่ไว้วางใจต่อโครงสร้างทางการเมืองและกลไกที่ถูกมองว่าไม่ชอบธรรม


3. ความเสี่ยงและอุปสรรคของการรีเซ็ตการเมืองใหม่

แม้การรีเซ็ตจะเป็นความหวัง แต่ก็มีอุปสรรคที่สำคัญ ได้แก่

  • การต่อต้านจากกลุ่มอำนาจเดิมที่ได้ประโยชน์จากระบบปัจจุบัน

  • ความแตกแยกและความไม่เป็นเอกภาพของพรรคการเมือง

  • แรงกดดันจากภาคประชาชนที่อาจขยายสู่ความขัดแย้งบนท้องถนน

  • ความเสี่ยงของสุญญากาศทางการเมือง หากยุบสภาโดยไม่วางแผนที่รอบคอบ


4. แนวทางเชิงสร้างสรรค์ในการรีเซ็ตการเมืองใหม่

เพื่อให้การรีเซ็ตมีความยั่งยืน ควรดำเนินการดังนี้

  • จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ไม่ใช่การแต่งตั้งจากกลุ่มการเมืองเดิม

  • ลดอำนาจวุฒิสภา โดยเฉพาะการมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีและกำกับองค์กรอิสระ

  • เพิ่มกลไกตรวจสอบจริยธรรมนักการเมือง ผ่านองค์กรอิสระ สื่อมวลชน และมาตรการทางกฎหมาย

  • สร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ บนฐานนโยบายที่แข่งขันด้วยความโปร่งใสแทนผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม


5. มิติใหม่ของการรีเซ็ต: รัฐธรรมนูญ vs. สัญญาประชาคม

ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เสนอประเด็นสำคัญว่า การแก้รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากปราศจาก “สัญญาประชาคมชุดใหม่” ที่เป็นฉันทามติของสังคม โดยให้เหตุผล 5 ประการ ได้แก่

  1. วิกฤติไทยเป็นวิกฤติ ความไว้วางใจ มากกว่าวิกฤติของกติกา

  2. ความขัดแย้งอยู่ที่ กรอบความคิด ไม่ใช่แค่เนื้อหาของรัฐธรรมนูญ

  3. ประเทศต้องการ คุณค่าร่วม ไม่ใช่เพียง กติการ่วม

  4. ต้องผสาน จารีต กับ การปฏิรูป อย่างมีจังหวะและสมดุล

  5. การเปลี่ยนแปลงโลกต้องการ กรอบคิดใหม่ ที่มองกว้างและยั่งยืน

ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงเป็นเพียง “เครื่องมือ” ขณะที่สัญญาประชาคมเป็น “ฉันทามติทางสังคม” ที่ต้องมาก่อน เพื่อป้องกันวงจรซ้ำซากของรัฐธรรมนูญใหม่ที่ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นต้นตอของความขัดแย้ง


บทสรุป

แนวทางการรีเซ็ตการเมืองไทยใหม่มิใช่เพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การร่างรัฐธรรมนูญหรือยุบสภา หากแต่ต้องเริ่มจากการสร้าง “สัญญาประชาคม” ที่สะท้อนคุณค่าร่วมและความไว้วางใจของคนในสังคม จากนั้นจึงวางรัฐธรรมนูญที่เป็นเครื่องมือรองรับฉันทามตินั้น

เหตุการณ์การเจรจาทางการเมืองเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 เป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำว่า ความขัดแย้งทางการเมืองไทยจะไม่ยุติ หากปราศจากการสร้างความชอบธรรมเชิงโครงสร้างและเชิงสังคม การรีเซ็ตครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะหลอมรวมสังคมไทยให้ออกจากวังวนความขัดแย้ง โดยอาศัยทั้ง “รัฐธรรมนูญที่เป็นธรรม” และ “สัญญาประชาคมที่มั่นคง” เป็นรากฐานของการเมืองไทยในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...