บทนำ
พระพุทธศาสนาในสังคมไทยมีบทบาทสำคัญในการธำรงรักษาจริยธรรมและความสงบสุขของสังคม อย่างไรก็ตาม ปัญหาการละเมิดพระธรรมวินัยโดยพระสงฆ์บางรูปได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อศรัทธาของชาวพุทธและนำไปสู่การแทรกแซงของกระบวนการยุติธรรมทางโลก โดยเฉพาะการเข้ามาปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาสำคัญคือ กระบวนการทางกฎหมายในกรณีนี้จะมุ่ง “ส่งเสริม” หรือ “ทำลาย” พระสัทธรรมและความศรัทธาของประชาชน
เพื่อทำความเข้าใจ ปัญหานี้สามารถวิเคราะห์ได้จากกรอบคิดเรื่อง “จุดหมายของกฎหมาย” ที่ปรากฏในหนังสือ นิติศาสตร์แนวพุทธ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งได้แบ่งจุดหมายของกฎหมายไว้ 2 แบบ ได้แก่
-
การส่งเสริมความสงบสุขและความยุติธรรม เพื่อพัฒนาบุคคลและสังคม
-
การควบคุมพฤติกรรมและสร้างความสงบเรียบร้อยโดยอำนาจบังคับ
กรอบแนวคิด: นิติศาสตร์แนวพุทธ
-
กฎหมายเชิงสร้างสรรค์ (แบบแรก)
-
เน้นการส่งเสริมจริยธรรม ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล และการพัฒนาบุคคล
-
สร้างความสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่
-
ใช้หลักธรรมเป็นพื้นฐานเพื่อให้เกิดความสงบสุข
-
เป็นการมุ่ง ป้องกัน มากกว่าการ ลงโทษ
-
-
กฎหมายเชิงบังคับ (แบบที่สอง)
-
มุ่งการใช้อำนาจตามตัวบท
-
ควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ละเมิดต่อสังคม
-
จัดการโดยเด็ดขาด รวดเร็ว และเข้มงวด
-
เน้นการรักษาความสงบแบบ “ไร้ข้อโต้แย้ง”
-
การวิเคราะห์กรณี: ปฏิบัติการตำรวจต่อพระที่ละเมิดพระธรรมวินัย
-
ลักษณะของการปฏิบัติที่เน้นการบังคับ
-
จากกรณีที่ปรากฏในสื่อ การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่มักใช้กรอบกฎหมายแบบที่สอง คือการเข้าจับกุม ควบคุม หรือดำเนินคดีพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหาละเมิดวินัย โดยไม่พิจารณาเชิงกระบวนการทางธรรม
-
ผลลัพธ์คือ พระสงฆ์เหล่านั้นกลายเป็น “ผู้ต้องหา” ในสายตาสังคม แม้สุดท้ายศาลอาจยกฟ้อง
-
การนำเสนอของสื่อที่ขยายผลในเชิงประณาม ยิ่งทำให้สังคมเกิดภาพเหมารวมว่าสงฆ์เสื่อมศรัทธา
-
-
ผลกระทบเชิงลบ
-
ความศรัทธาของชาวพุทธถูกบั่นทอนลง
-
พระสงฆ์ผู้ถูกกล่าวหาบางรูปไม่อาจกลับมาดำรงสมณเพศหรือฟื้นฟูศรัทธาได้
-
สังคมตีความว่ากฎหมายกลายเป็นเครื่องมือ “ทำลาย” มากกว่าสร้างสรรค์
-
-
แนวทางที่สอดคล้องกับกฎหมายเชิงสร้างสรรค์
-
ควรมีกระบวนการไกล่เกลี่ย หรือกระบวนการสืบสวนสอบสวนที่ให้โอกาสพระภิกษุผู้ละเมิดวินัยได้แก้ไขตนเอง
-
ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างคณะสงฆ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจัดการปัญหาภายในศาสนาด้วยหลักธรรมควบคู่กฎหมาย
-
ใช้แนวคิด “การพัฒนาคน” แทน “การล้างผลาญคนผิด” ดังเช่นตัวอย่างพระองคุลีมาลที่เปลี่ยนจากโจรกลายเป็นพระอรหันต์
-
ข้อถกเถียง
การดำเนินการทางกฎหมายต่อพระสงฆ์ที่ละเมิดพระธรรมวินัย จึงมีทั้งมิติ “สร้างสรรค์” และ “ทำลาย” ขึ้นอยู่กับวิธีการนำไปใช้
-
หากเน้นเพียงการปราบปราม → เสี่ยงทำลายศรัทธาและสร้างภาพลบต่อพระศาสนา
-
หากเน้นการพัฒนา → สามารถสร้างโอกาสให้บุคคลกลับตัวกลับใจ และเสริมความศรัทธาในพระธรรมวินัย
ดังนั้น กฎหมายจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือควบคุม แต่ต้องเป็นเครื่องมือในการเกื้อกูลต่อพระธรรมวินัยและการอยู่ร่วมกันในสังคม
บทสรุป
กรณีการปฏิบัติการของตำรวจกับพระที่ละเมิดพระธรรมวินัย ชี้ให้เห็นปัญหาของการใช้กฎหมายที่มุ่ง “ควบคุม” มากกว่าการ “สร้างสรรค์” หากปล่อยให้กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือในการกำจัดเพียงอย่างเดียว ย่อมบั่นทอนศรัทธาของสังคมในพระศาสนาและกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น การใช้กฎหมายควรพัฒนาบนฐาน นิติศาสตร์แนวพุทธ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคล เกื้อกูลต่อสังคม และรักษาความสมดุลระหว่างความยุติธรรมกับความเมตตา อันจะทำให้กฎหมายเป็นพลังสร้างสรรค์ มิใช่พลังทำลาย
หมายเหตุ-วิเคราะห์โดยมีข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Suthito Aphakaro เป็นฐาน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น