วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์กระบวนการทางกฎหมายมุ่งส่งเสริมหรือทำลาย : กรณีปฏิบัติการของตำรวจกับพระที่ละเมิดพระธรรมวินัย


บทนำ

พระพุทธศาสนาในสังคมไทยมีบทบาทสำคัญในการธำรงรักษาจริยธรรมและความสงบสุขของสังคม อย่างไรก็ตาม ปัญหาการละเมิดพระธรรมวินัยโดยพระสงฆ์บางรูปได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อศรัทธาของชาวพุทธและนำไปสู่การแทรกแซงของกระบวนการยุติธรรมทางโลก โดยเฉพาะการเข้ามาปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาสำคัญคือ กระบวนการทางกฎหมายในกรณีนี้จะมุ่ง “ส่งเสริม” หรือ “ทำลาย” พระสัทธรรมและความศรัทธาของประชาชน

เพื่อทำความเข้าใจ ปัญหานี้สามารถวิเคราะห์ได้จากกรอบคิดเรื่อง “จุดหมายของกฎหมาย” ที่ปรากฏในหนังสือ นิติศาสตร์แนวพุทธ ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ซึ่งได้แบ่งจุดหมายของกฎหมายไว้ 2 แบบ ได้แก่

  1. การส่งเสริมความสงบสุขและความยุติธรรม เพื่อพัฒนาบุคคลและสังคม

  2. การควบคุมพฤติกรรมและสร้างความสงบเรียบร้อยโดยอำนาจบังคับ


กรอบแนวคิด: นิติศาสตร์แนวพุทธ

  1. กฎหมายเชิงสร้างสรรค์ (แบบแรก)

    • เน้นการส่งเสริมจริยธรรม ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล และการพัฒนาบุคคล

    • สร้างความสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่

    • ใช้หลักธรรมเป็นพื้นฐานเพื่อให้เกิดความสงบสุข

    • เป็นการมุ่ง ป้องกัน มากกว่าการ ลงโทษ

  2. กฎหมายเชิงบังคับ (แบบที่สอง)

    • มุ่งการใช้อำนาจตามตัวบท

    • ควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ละเมิดต่อสังคม

    • จัดการโดยเด็ดขาด รวดเร็ว และเข้มงวด

    • เน้นการรักษาความสงบแบบ “ไร้ข้อโต้แย้ง”


การวิเคราะห์กรณี: ปฏิบัติการตำรวจต่อพระที่ละเมิดพระธรรมวินัย

  1. ลักษณะของการปฏิบัติที่เน้นการบังคับ

    • จากกรณีที่ปรากฏในสื่อ การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่มักใช้กรอบกฎหมายแบบที่สอง คือการเข้าจับกุม ควบคุม หรือดำเนินคดีพระสงฆ์ที่ถูกกล่าวหาละเมิดวินัย โดยไม่พิจารณาเชิงกระบวนการทางธรรม

    • ผลลัพธ์คือ พระสงฆ์เหล่านั้นกลายเป็น “ผู้ต้องหา” ในสายตาสังคม แม้สุดท้ายศาลอาจยกฟ้อง

    • การนำเสนอของสื่อที่ขยายผลในเชิงประณาม ยิ่งทำให้สังคมเกิดภาพเหมารวมว่าสงฆ์เสื่อมศรัทธา

  2. ผลกระทบเชิงลบ

    • ความศรัทธาของชาวพุทธถูกบั่นทอนลง

    • พระสงฆ์ผู้ถูกกล่าวหาบางรูปไม่อาจกลับมาดำรงสมณเพศหรือฟื้นฟูศรัทธาได้

    • สังคมตีความว่ากฎหมายกลายเป็นเครื่องมือ “ทำลาย” มากกว่าสร้างสรรค์

  3. แนวทางที่สอดคล้องกับกฎหมายเชิงสร้างสรรค์

    • ควรมีกระบวนการไกล่เกลี่ย หรือกระบวนการสืบสวนสอบสวนที่ให้โอกาสพระภิกษุผู้ละเมิดวินัยได้แก้ไขตนเอง

    • ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างคณะสงฆ์กับเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อจัดการปัญหาภายในศาสนาด้วยหลักธรรมควบคู่กฎหมาย

    • ใช้แนวคิด “การพัฒนาคน” แทน “การล้างผลาญคนผิด” ดังเช่นตัวอย่างพระองคุลีมาลที่เปลี่ยนจากโจรกลายเป็นพระอรหันต์


ข้อถกเถียง

การดำเนินการทางกฎหมายต่อพระสงฆ์ที่ละเมิดพระธรรมวินัย จึงมีทั้งมิติ “สร้างสรรค์” และ “ทำลาย” ขึ้นอยู่กับวิธีการนำไปใช้

  • หากเน้นเพียงการปราบปราม → เสี่ยงทำลายศรัทธาและสร้างภาพลบต่อพระศาสนา

  • หากเน้นการพัฒนา → สามารถสร้างโอกาสให้บุคคลกลับตัวกลับใจ และเสริมความศรัทธาในพระธรรมวินัย

ดังนั้น กฎหมายจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือควบคุม แต่ต้องเป็นเครื่องมือในการเกื้อกูลต่อพระธรรมวินัยและการอยู่ร่วมกันในสังคม


บทสรุป

กรณีการปฏิบัติการของตำรวจกับพระที่ละเมิดพระธรรมวินัย ชี้ให้เห็นปัญหาของการใช้กฎหมายที่มุ่ง “ควบคุม” มากกว่าการ “สร้างสรรค์” หากปล่อยให้กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือในการกำจัดเพียงอย่างเดียว ย่อมบั่นทอนศรัทธาของสังคมในพระศาสนาและกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น การใช้กฎหมายควรพัฒนาบนฐาน นิติศาสตร์แนวพุทธ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคคล เกื้อกูลต่อสังคม และรักษาความสมดุลระหว่างความยุติธรรมกับความเมตตา อันจะทำให้กฎหมายเป็นพลังสร้างสรรค์ มิใช่พลังทำลาย

หมายเหตุ-วิเคราะห์โดยมีข้อมูลจากเฟซบุ๊ก Suthito Aphakaro เป็นฐาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...