พระพุทธศาสนามีบทบาทสำคัญในสังคมไทยทั้งในด้านวัฒนธรรม สังคม และการเมือง อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา คณะสงฆ์ไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐอย่างเข้มงวด และขาดความสามารถในการบริหารจัดการตนเองอย่างเป็นอิสระ โดยเฉพาะหลังการปฏิรูปคณะสงฆ์ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้ง ซึ่งมุ่งเน้นการ “กระชับอำนาจ” แทนที่จะ “กระจายอำนาจ” การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำมาสู่คำถามสำคัญว่า เหตุใดคณะสงฆ์ไทยจึงกลายเป็นเครื่องมือของรัฐมากกว่าจะเป็นองค์กรศาสนาที่มีเสรีภาพทางศาสนาและความเป็นอิสระตามหลักพระธรรมวินัย
การปฏิรูปคณะสงฆ์ : จากการกระจายสู่การรวมศูนย์
การปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาระยะแรก (2560–2564) ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและคำสั่งของรัฐบาล ถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างและระบบคณะสงฆ์ให้ทันต่อสังคม แต่ในทางปฏิบัติกลับสะท้อนการรวมศูนย์อำนาจ เช่น
-
การแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ที่ให้อำนาจฝ่ายการเมืองมากขึ้น
-
การตั้งหน่วยงานกำกับ เช่น “ศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและส่งเสริมพระธรรมวินัย” ของตำรวจ ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าเป็นการซ้ำเติมการแทรกแซงกิจการสงฆ์
-
โครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น “วัดประชารัฐ สร้างสุข” หรือ “โครงการศีล 5” ที่แม้จะอ้างว่าเพื่อส่งเสริมคุณธรรม แต่แท้จริงกลับเป็นการดึงวัดเข้ามาอยู่ภายใต้นโยบายของรัฐ
ทั้งหมดนี้ทำให้คณะสงฆ์ถูกจำกัดเสรีภาพ ไม่สามารถแสดงบทบาทในการกำหนดทิศทางของพระพุทธศาสนาได้อย่างอิสระ
ปัจจัยที่ทำให้คณะสงฆ์ตกเป็นเครื่องมือรัฐ
1. โครงสร้างทางกฎหมายและการเมือง
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และการแก้ไขภายหลัง เปิดช่องให้รัฐเข้ามามีบทบาทในกิจการสงฆ์มากกว่าที่หลักพระธรรมวินัยกำหนด ส่งผลให้พระสงฆ์ขาดอิสระเชิงสถาบัน ทั้งการแต่งตั้งตำแหน่ง การโยกย้าย และการกำหนดนโยบาย ถูกควบคุมโดยรัฐ
2. ความไม่ทันสมัยของการศึกษาสงฆ์
ระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมและบาลียังคงเน้นการท่องจำและรักษาพุทธพจน์ แต่ไม่ได้พัฒนาความรู้ที่สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่ พระสงฆ์จึงไม่สามารถก้าวทันต่อบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ส่งผลให้ถูกมองว่า “ล้าหลัง” และง่ายต่อการถูกควบคุม
3. การเพิกเฉยต่อปัญหาพื้นฐานในคณะสงฆ์
ประเด็นสำคัญ เช่น วัดร้าง วัดขาดแคลนพระภิกษุ การบุกรุกธรณีสงฆ์ การขาดสวัสดิการพระสงฆ์และแม่ชี หรือการสนับสนุนพระธรรมทูตในต่างแดน ล้วนถูกละเลย ขณะที่การปฏิรูปกลับเน้นไปที่การสร้างกลไกควบคุมมากกว่าการแก้ปัญหาที่แท้จริง
4. วัฒนธรรมการเมืองไทยและสังคมอุปถัมภ์
สังคมไทยมีลักษณะนิยม “อำนาจส่วนกลาง” และการแบ่งฝ่าย “พวก–ไม่ใช่พวก” ทำให้คณะสงฆ์ถูกมองไม่ต่างจากสถาบันราชการหนึ่งที่ต้องตอบสนองนโยบายการเมืองมากกว่าตอบสนองความต้องการของพุทธบริษัท
5. การขาดพลังของพระสงฆ์และพุทธบริษัท
พระสงฆ์และชาวพุทธที่พยายามเสนอแนวทางปฏิรูป เช่น การยกเลิกศูนย์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาของตำรวจ หรือการผลักดัน พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา มักถูกมองว่าเป็นเสียงเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากรัฐ
ผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาไทย
การที่คณะสงฆ์ตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ นำไปสู่ผลกระทบหลายด้าน ได้แก่
-
ศรัทธาสาธารณะสั่นคลอน : เมื่อประชาชนเห็นคณะสงฆ์ตอบสนองรัฐมากกว่าพุทธบริษัท
-
การเมืองนำศาสนา : พระสงฆ์บางรูปถูกดึงเข้าไปเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมทางการเมือง
-
ศาสนธรรมถูกลดทอน : ปัญหาสำคัญ เช่น การศึกษา สวัสดิการพระ หรือการเผยแผ่ในต่างแดน ไม่ได้รับการแก้ไขจริง
ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปที่แท้จริง
-
แก้ไขโครงสร้างกฎหมาย โดยปรับ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยและหลักการปกครองตนเองของสงฆ์
-
ปรับปรุงการศึกษาพระสงฆ์ ให้ทันสมัย สอดคล้องกับโลกาภิวัตน์ และเสริมทักษะด้านสังคม เศรษฐกิจ การสื่อสาร และเทคโนโลยี
-
สร้างระบบสวัสดิการพระสงฆ์และแม่ชี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มคุณภาพชีวิต
-
เปิดพื้นที่ให้พุทธบริษัทมีส่วนร่วม ในการออกกฎระเบียบ และการกำหนดทิศทางพระพุทธศาสนา
-
เน้นการกระจายอำนาจ ให้คณะสงฆ์ระดับท้องถิ่นและชุมชนมีบทบาทมากขึ้น แทนที่จะรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง
บทสรุป
การปฏิรูปคณะสงฆ์ไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เป็นการพัฒนาให้พระพุทธศาสนาก้าวทันสังคมโลก แต่กลับทำให้คณะสงฆ์ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอย่างแน่นหนา เหตุผลสำคัญมาจากโครงสร้างกฎหมาย วัฒนธรรมทางการเมือง ระบบการศึกษา และการละเลยปัญหาสำคัญในสังคมสงฆ์ การปฏิรูปที่แท้จริงจึงต้องไม่ใช่การ “กระชับอำนาจ” แต่เป็นการสร้างความเข้มแข็งให้คณะสงฆ์สามารถบริหารจัดการตนเองได้ และตอบสนองต่อความต้องการของพุทธบริษัทอย่างแท้จริง หากไม่เช่นนั้น คณะสงฆ์ไทยจะยังคงเป็น “เครื่องมือรัฐ” มากกว่าจะเป็นพลังทางศาสนาที่นำพาสังคมไปสู่ความเจริญมั่นคง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น