บทนำ
ความขัดแย้งทางการเมืองไทยมักปรากฏทั้งในระดับภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันกับบุคคลสำคัญหรือประเด็นอ่อนไหวด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ กรณีล่าสุดที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับคำร้องซึ่งกล่าวหาว่ามีการเกี่ยวข้องกับคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้กลายเป็นกรณีศึกษาเชิงการเมืองและกฎหมายที่สำคัญ
ประเด็นนี้มิได้สะท้อนเพียงมิติทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับหลักการ “ไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง” (Conflict Mediation) ในทางรัฐศาสตร์และสันติศึกษา โดยเฉพาะการจัดการปัญหาที่มี “ความจริงหลายชุด” และ “ผลประโยชน์ทางการเมืองที่ซ้อนทับกัน” หากไม่ถูกคลี่คลายอย่างเหมาะสม ย่อมอาจนำไปสู่การแตกแยกทางสังคมและการท้าทายความชอบธรรมของสถาบันการเมือง
กรอบแนวคิดทางทฤษฎี
การไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง (Mediation) มีรากฐานจากทฤษฎีการแก้ไขข้อขัดแย้ง (Conflict Resolution Theory) และสันติวิธี (Peaceful Means) โดยมีหลักการสำคัญ ดังนี้
-
ความเป็นกลางของผู้ไกล่เกลี่ย – ผู้ทำหน้าที่ต้องไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพื่อสร้างความไว้วางใจทั้งสองฝ่าย
-
การยอมรับความชอบธรรมซึ่งกันและกัน – คู่ขัดแย้งต้องยอมรับสิทธิในการดำรงอยู่และการแสดงออกทางการเมืองของอีกฝ่าย
-
การสื่อสารอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา – ลดการบิดเบือนข้อมูล และสร้างความเข้าใจที่แท้จริง
-
การมุ่งเน้นผลประโยชน์ร่วม (Mutual Gains) – จาก “zero-sum game” ที่มีผู้แพ้ผู้ชนะ สู่ “win-win situation”
-
การยึดประโยชน์สาธารณะเป็นหลัก – การแก้ไขปัญหาต้องสอดคล้องกับประโยชน์ของสังคมโดยรวม ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายการเมืองใดฝ่ายหนึ่ง
การวิเคราะห์กรณีศึกษา
1. มิติทางกฎหมาย
ศาลรัฐธรรมนูญในฐานะ “ผู้ตัดสินชี้ขาด” ถูกจับตามองว่าจะสามารถทำหน้าที่เสมือน “ผู้ไกล่เกลี่ยเชิงสถาบัน” ได้หรือไม่ การที่แพทองธารเลือกใช้การ “ชี้แจงข้อเท็จจริง” ถือเป็นการสื่อสารเชิงลดแรงปะทะ (de-escalation) มากกว่าการตอบโต้เชิงการเมือง ซึ่งช่วยเปิดช่องทางให้การตัดสินอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง มากกว่าความรู้สึกหรือแรงกดดันทางการเมือง
2. มิติทางการเมือง
ข้อกล่าวหาว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติ อาจก่อให้เกิด “ความไม่ไว้วางใจทางการเมือง” ซึ่งหากปล่อยให้ยืดเยื้อ อาจลุกลามเป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง การออกมาชี้แจงต่อสาธารณะสะท้อนถึงความพยายามสร้าง narrative ทางเลือกที่มุ่งยืนยันถึง “ความเป็นไทย” และลดทอนวาทกรรม “ภัยคุกคามจากต่างชาติ”
3. มิติทางสันติวิธีและการสื่อสาร
การนำเสนอข้อเท็จจริงเชิงสร้างสรรค์และการอธิบายต่อศาล เป็นลักษณะของ “การสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจ” (Communicative Action) ตามแนวคิดของฮาเบอร์มาส (Habermas) ในเชิงการไกล่เกลี่ย หากคู่ขัดแย้งและสังคมยอมรับว่ามีหลายมุมมองต่อข้อเท็จจริงเดียวกัน ก็สามารถลดการใช้ “ความเกลียดชัง” ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้
4. มิติของการแยก “คน–ปัญหา–วิธีการ–อารมณ์”
คำชี้แจงของแพทองธารที่ย้ำว่า ต้องการแยก “คนออกจากปัญหา” และ “ปัญหาออกจากวิธีการ” สามารถขยายให้ครอบคลุมถึงการ “แยกอารมณ์ออกจากข้อพิพาท” ได้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นมิติสำคัญในการจัดการความขัดแย้งทางการเมือง โดยอธิบายได้ดังนี้
-
แยกคนออกจากปัญหา (Separate the People from the Problem)
แพทองธารพยายามลดการโจมตีที่พุ่งตรงต่อ “ตัวบุคคล” เช่น ข้อกล่าวหาที่พาดพิงเธอกับ “ฮุน เซน” วิธีนี้ช่วยเปลี่ยนการสนทนาจากการโทษบุคคล ไปสู่การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ถกเถียงโดยปราศจากอคติ -
แยกปัญหาออกจากวิธีการ (Separate the Problem from the Solutions)
การชี้แจงไม่ได้ปฏิเสธว่ามี “ข้อกังวลด้านความมั่นคงและอธิปไตย” แต่เน้นว่าวิธีการกล่าวหา/ใช้คลิปเสียงอาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แนวทางนี้สะท้อนถึงความพยายาม “ตีกรอบปัญหา” ให้ชัด และแยกออกจากกลวิธีทางการเมืองที่อาจบิดเบือน -
แยกอารมณ์ออกจากข้อพิพาท (Separate Emotions from the Dispute)
ในสังคมการเมืองไทย ความขัดแย้งมักถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความหวาดกลัว หรือความไม่ไว้วางใจ การชี้แจงของแพทองธารที่ใช้ภาษาสุภาพและเน้นการอธิบายเชิงเหตุผล ช่วยลดการยกระดับอารมณ์ทางการเมือง และหลีกเลี่ยงการสร้าง “ความรู้สึกเป็นศัตรู” (enemy image) ระหว่างคู่ขัดแย้ง วิธีนี้เอื้อให้เกิดการรับฟังและประเมินปัญหาบนฐานของเหตุผลมากกว่าอารมณ์ -
ผลทางการไกล่เกลี่ย
เมื่อสามารถแยกคน ปัญหา วิธีการ และอารมณ์ออกจากกัน การสื่อสารจะเปลี่ยนจากการเผชิญหน้าส่วนบุคคลไปสู่การหาทางออกร่วม (common ground) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Fisher & Ury ที่เสนอว่า การเจรจาที่มีประสิทธิภาพต้องตั้งอยู่บนการรักษาความสัมพันธ์คู่ขัดแย้ง และแสวงหาทางแก้ไขเชิงสร้างสรรค์ที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
บทสรุป
กรณีแพทองธาร ชินวัตร กับการยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง “คลิปเสียงฮุน เซน” เป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนถึงการนำหลักการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งมาใช้ในเชิงปฏิบัติ แม้มิได้อยู่ในรูปแบบการเจรจาโดยตรง แต่กระบวนการชี้แจง การเปิดเผยข้อมูล และการอ้างอิงกฎหมาย ล้วนเป็น “เครื่องมือเชิงสันติวิธี” ที่ช่วยลดระดับความร้อนแรงของความขัดแย้ง
กรณีนี้ยังชี้ให้เห็นว่า “การไกล่เกลี่ยในระบอบประชาธิปไตย” ไม่จำกัดเฉพาะโต๊ะเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้ง แต่สามารถปรากฏผ่านสถาบันทางกฎหมาย เวทีสาธารณะ และการสื่อสารที่รับผิดชอบ ซึ่งหากดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงใจ อาจกลายเป็นต้นแบบของการจัดการความขัดแย้งทางการเมืองไทยในอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น