วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์สังคมตื่นรู้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว


การพัฒนาเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเพียงอัตราการเติบโตทางตัวเลขเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนควบคู่กันไป แนวคิด “เศรษฐกิจสีเขียว” (Green Economy) จึงได้รับการผลักดันในระดับโลก เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และธรรมชาติ

ในบริบทของสังคมไทย การก้าวสู่เศรษฐกิจสีเขียวจำเป็นต้องอาศัย “สังคมตื่นรู้” (Mindful Society) ที่มีจิตสำนึกถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ บทความนี้จะวิเคราะห์ว่าแนวคิดสังคมตื่นรู้สามารถขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างไร โดยอ้างอิงแนวทางจากการประชุม วันสันติภาพสากล 2568 ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ


1. สังคมตื่นรู้: รากฐานทางจิตสำนึก

สังคมตื่นรู้มิได้หมายถึงเพียงการมีความรู้หรือข้อมูล หากแต่รวมถึงการมี “สติปัญญา” และ “ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง” ต่อผลกระทบที่การกระทำของตนมีต่อผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม

  • มิติทางพุทธปรัชญา: การพัฒนาเศรษฐกิจควรตั้งอยู่บนหลักความพอเพียง ลดความโลภและการบริโภคเกินจำเป็น

  • มิติทางสังคม: การสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบร่วมกันต่อทรัพยากรธรรมชาติ

  • มิติทางจิตวิทยา: การใช้สติเป็นเครื่องมือในการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับความยั่งยืน


2. เศรษฐกิจสีเขียว: แนวทางการพัฒนา

เศรษฐกิจสีเขียวคือการปรับโครงสร้างการผลิตและการบริโภคให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะใน 3 ด้านสำคัญ

  1. การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน – ลดการใช้พลังงานฟอสซิล มุ่งสู่พลังงานหมุนเวียน

  2. การสร้างนวัตกรรมสีเขียว – พัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ

  3. การเปลี่ยนผ่านสังคมการทำงาน – สนับสนุนอาชีพสีเขียว (Green Jobs) เพื่อสร้างรายได้ควบคู่กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


3. การบรรจบกันของ “สังคมตื่นรู้” และ “เศรษฐกิจสีเขียว”

หัวข้อหลักของวันสันติภาพสากล 2568 คือ “Mindful Society for Green Economy Development” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างการพัฒนาจิตสำนึกของประชาชนกับการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว กล่าวคือ:

  • สังคมตื่นรู้ → ลดความต้องการเกินจำเป็น → ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจหันไปสู่การผลิตและการบริโภคอย่างพอประมาณ

  • สังคมตื่นรู้ → สร้างความร่วมมือทางสังคม → ช่วยขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจสีเขียวให้เกิดผลจริง

  • สังคมตื่นรู้ → สันติภาพและความสมดุล → สังคมที่สงบและมีสติย่อมเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน


4. บทเรียนจากเวทีสากล

ผู้ทรงคุณวุฒิในงาน เช่น พระพรหมบัณฑิต (ศ.ดร.) และผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติ ได้สะท้อนว่า การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนเชิงเทคนิคหรือเทคโนโลยี แต่ต้องอาศัย พลังทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ มาหนุนเสริม หากขาดมิติด้านนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวจะเป็นเพียง “นโยบายบนกระดาษ” ไม่สามารถหยั่งรากในสังคมได้จริง


5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย

เพื่อให้สังคมตื่นรู้สามารถนำไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้จริง จำเป็นต้องมีการดำเนินการดังนี้

  1. การศึกษาเชิงสติ (Mindful Education) – บรรจุแนวคิดความยั่งยืนและการใช้สติในการเรียนรู้ในทุกระดับ

  2. นโยบายสาธารณะสีเขียว – สนับสนุนพลังงานสะอาด เกษตรอินทรีย์ และอุตสาหกรรมที่ลดคาร์บอน

  3. การสร้างวัฒนธรรมการบริโภคใหม่ – ส่งเสริมการใช้ชีวิตเรียบง่ายและรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

  4. ความร่วมมือระหว่างประเทศ – แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกัน


บทสรุป

“สังคมตื่นรู้สู่การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว” เป็นกรอบแนวคิดที่เชื่อมโยงมิติทางจิตวิญญาณกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม หากสังคมไทยสามารถสร้างพลเมืองที่มีจิตสำนึกต่อธรรมชาติและสังคมได้ เศรษฐกิจสีเขียวจะไม่ใช่เพียงแนวทางเชิงนโยบาย แต่จะเป็นวิถีชีวิตที่หยั่งรากลึกในทุกระดับของสังคม และนี่คือเส้นทางสู่สันติภาพที่แท้จริงทั้งต่อมนุษย์และโลกธรรมชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...