วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2568

"สุชาติ ตันเจริญ" ถามดังๆ! ถึงเวลาหรือยังต้องสังคายนาคณะสงฆ์ไทยครั้งใหญ่


พระพุทธศาสนาในประเทศไทยดำรงอยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน แต่ในกระบวนการจัดการองค์กรสงฆ์กลับมีปัญหาซ้ำซ้อน ทั้งในด้านพระวินัย การบริหารจัดการวัด และความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับรัฐ ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ออกมาเสนอให้มี “การสังคายนาวงการผ้าเหลือง” นับเป็นการสะท้อนถึงแรงกดดันทางสังคมที่มีต่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างที่ต้องการการปฏิรูปเชิงระบบ

“เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราฉุกคิดได้ว่าจะต้องสังคายนา ปฏิรูปวงการพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีการปรึกษากับมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะสังคายนาพระภิกษุทั้งประเทศ ยอมให้มีการทำประวัติ ตรวจเลือด ตรวจปัสสวะ รวมถึงการตรวจบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้พระเสียผู้เสียคน เสียความเป็นสมณเพศ เพราะมีทรัพย์สินโดยที่คนไม่รู้ว่าเป็นเงินของวัดหรือเงินส่วนตัว” นายสุชาติ กล่าว

ความหมายและพัฒนาการของการสังคายนา

ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา “การสังคายนา” (Sangayana) หมายถึง การประชุมพระสงฆ์เพื่อทบทวน ตรวจสอบ และทำให้บริสุทธิ์ในพระธรรมวินัย โดยเริ่มตั้งแต่พุทธปรินิพพานครั้งแรก จนถึงปัจจุบันมีการสังคายนาเกิดขึ้นหลายครั้งในแต่ละนิกายและประเทศ สำหรับประเทศไทยเอง แม้จะไม่มีการสังคายนาในเชิงพระวินัยระดับโลก แต่ก็มีความพยายามในการปฏิรูปและตรวจสอบคณะสงฆ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การตรากฎหมายคณะสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือการปรับปรุงกฎหมายคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

ดังนั้น การใช้คำว่า “สังคายนา” ในบริบทปัจจุบันจึงมิใช่เพียงการท่องบ่นพระธรรมวินัย แต่หมายถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การตรวจสอบ และการทำให้คณะสงฆ์กลับคืนสู่หลักวินัยอันเป็นแก่นแท้ของพระศาสนา

บริบทปัญหาและข้อเสนอจากภาครัฐ

กรณีของพระราชวิสุทธิประชานาถ (พระอลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสของมูลนิธิ การครอบครองทรัพย์สิน และข้อพิรุธด้านเอกสารการบวช ได้กลายเป็นชนวนที่ทำให้รัฐหยิบยกแนวคิด “สังคายนาคณะสงฆ์” อย่างจริงจัง โดยข้อเสนอสำคัญของนายสุชาติ ได้แก่

การตรวจสอบเชิงระบบ – การตรวจสอบประวัติพระภิกษุ การตรวจร่างกาย (ตรวจเลือด ปัสสาวะ) และการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน เพื่อป้องกันการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับสมณเพศ

การสังคายนาหน่วยงานรัฐก่อนคณะสงฆ์ – การวิพากษ์ พศ. และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) โดยเฉพาะกรณีลพบุรี ที่ไม่สามารถรายงานข้อมูลหรือจับสัญญาณความผิดปกติในพื้นที่ได้ ถือเป็นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการและการบังคับใช้นโยบายของรัฐ

การมีส่วนร่วมของมหาเถรสมาคม (มส.) – เนื่องจาก มส.เป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย การจะดำเนินการใด ๆ ต้องอาศัยความเห็นชอบและการประสานงานกับผู้ปกครองสงฆ์

การสร้างศรัทธาสาธารณะ – การสังคายนาครั้งนี้มิใช่เพียงเรื่องการจัดการเชิงบริหาร แต่ยังเป็นการฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนที่กำลังสั่นคลอน

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ

1. มายาคติและโครงสร้างการควบคุมคณะสงฆ์

ตลอดประวัติศาสตร์ไทย อำนาจรัฐไม่ได้เพียงอาศัยกฎหมายหรือกองทัพ แต่ยังดำรงอยู่ผ่าน “มายาคติ” ที่หล่อหลอมให้สังคมยอมรับระเบียบเดิม ในบริบทคณะสงฆ์ มายาคติที่สำคัญ เช่น

  1. “ศาสนาและชาติคือเกราะป้องกันภัย” – นำไปสู่การควบคุมคณะสงฆ์โดยรัฐภายใต้ข้ออ้างความมั่นคง

  2. “ความสงบสำคัญกว่าความยุติธรรม” – ทำให้ปัญหาการทุจริตหรือการผิดพระวินัยถูกกลบเกลื่อนเพื่อรักษาภาพลักษณ์

  3. “บ้านเมืองต้องมีผู้ปกครองแบบพ่อแม่” – ทำให้คณะสงฆ์และมหาเถรสมาคมถูกวางไว้ในฐานะอำนาจสูงสุดที่ไม่ถูกตรวจสอบ

มายาคติเหล่านี้สอดคล้องกับสิ่งที่เรียกว่า “Narrative Warfare” หรือสงครามการเล่าเรื่อง ที่ทำให้อำนาจนอกระบบกลายเป็นสิ่งชอบธรรม


2. การสังคายนาในฐานะ Counter-Narrative

การสังคายนาคณะสงฆ์ไทยจึงไม่ใช่แค่การตรวจสอบพระภิกษุ แต่คือความพยายาม “สร้างสำนึกใหม่” (Counter-Narrative) ที่ท้าทายมายาคติเดิม ตัวอย่างเช่น

  • จาก “ความสงบสำคัญกว่าความยุติธรรม” → สู่ “ความยุติธรรมคือเงื่อนไขแท้จริงของศรัทธาและความสงบ”

  • จาก “คณะสงฆ์สูงสุดไม่ต้องตรวจสอบ” → สู่ “องค์กรสงฆ์ต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้”

  • จาก “ศาสนาคือเครื่องมือระดมมวลชน” → สู่ “ศาสนาคือพลังแห่งเมตตาและการอยู่ร่วมกัน”

ดังนั้น “การสังคายนา” คือการสู้เชิงความหมาย ที่พยายามเปลี่ยนจากระเบียบเก่า (มายาคติ) มาสู่การจัดการที่ตั้งอยู่บนเสรีภาพ ความโปร่งใส และศักดิ์ศรีของทั้งพระสงฆ์และฆราวาส


3. มิติการวิเคราะห์การสังคายนา

มิติทางศาสนา

การตรวจสอบและฟื้นฟูพระวินัยเป็นหัวใจ แต่ต้องทำโดยไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นสมณะ มิฉะนั้นจะกลายเป็นการทำลายความศรัทธาแทนการกอบกู้

มิติทางสังคม

ความศรัทธาของประชาชนคือทุนทางสังคม เมื่อเกิดกรณีอื้อฉาว การสังคายนาจึงเป็นเครื่องมือฟื้นฟูศรัทธา และสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสในศาสนจักร

มิติทางการเมือง–รัฐ

การตรวจสอบหน่วยงานรัฐที่กำกับคณะสงฆ์ (พศ. และ พศจ.) ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสังคายนาระบบราชการควบคู่ไปด้วย มิฉะนั้นปฏิรูปสงฆ์อาจล้มเหลวเพราะติดคอขวดเชิงระบบ


4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. การตรวจสอบเชิงระบบ – ตรวจสอบประวัติ บัญชีทรัพย์สิน และพฤติกรรมของพระสงฆ์อย่างโปร่งใส

  2. สังคายนาหน่วยงานรัฐ – ปฏิรูปกลไกกำกับดูแลพระพุทธศาสนาให้มีประสิทธิภาพและไม่เป็นแค่พิธีกรรม

  3. การมีส่วนร่วมของมหาเถรสมาคม – ต้องสร้างกลไกที่ มส. ไม่ใช่แค่ผู้รับนโยบาย แต่เป็นผู้ร่วมผลักดันการปฏิรูป

  4. การสร้างศรัทธาสาธารณะ – การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ลดมายาคติ และสร้างเรื่องเล่าที่จับใจเกี่ยวกับ “พระศาสนาที่โปร่งใสและใกล้ชิดประชาชน”


บทสรุป

การสังคายนาคณะสงฆ์ไทยครั้งใหญ่ไม่ควรถูกมองเพียงในฐานะมาตรการตรวจสอบ แต่ต้องเข้าใจว่าเป็น สมรภูมิการต่อสู้เชิงความหมาย ระหว่าง “มายาคติ” ที่หล่อเลี้ยงโครงสร้างเดิม และ “สำนึกใหม่” ที่ต้องการฟื้นฟูศรัทธาและศักดิ์ศรีของพระพุทธศาสนา

หากการสังคายนาสามารถปลดล็อกมายาคติและสร้างระบบใหม่ที่โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ พระพุทธศาสนาไทยก็จะก้าวพ้นจากการเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐและอำนาจนอกระบบ สู่การเป็นพลังทางจิตวิญญาณที่ตอบสนองต่อสังคมไทยอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...