พระพุทธศาสนาในประเทศไทยดำรงอยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน แต่ในกระบวนการจัดการองค์กรสงฆ์กลับมีปัญหาซ้ำซ้อน ทั้งในด้านพระวินัย การบริหารจัดการวัด และความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์กับรัฐ ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ออกมาเสนอให้มี “การสังคายนาวงการผ้าเหลือง” นับเป็นการสะท้อนถึงแรงกดดันทางสังคมที่มีต่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องเชิงโครงสร้างที่ต้องการการปฏิรูปเชิงระบบ
“เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราฉุกคิดได้ว่าจะต้องสังคายนา ปฏิรูปวงการพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมีการปรึกษากับมหาเถรสมาคม (มส.) ว่าถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะสังคายนาพระภิกษุทั้งประเทศ ยอมให้มีการทำประวัติ ตรวจเลือด ตรวจปัสสวะ รวมถึงการตรวจบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้พระเสียผู้เสียคน เสียความเป็นสมณเพศ เพราะมีทรัพย์สินโดยที่คนไม่รู้ว่าเป็นเงินของวัดหรือเงินส่วนตัว” นายสุชาติ กล่าว
ความหมายและพัฒนาการของการสังคายนา
ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา “การสังคายนา” (Sangayana) หมายถึง การประชุมพระสงฆ์เพื่อทบทวน ตรวจสอบ และทำให้บริสุทธิ์ในพระธรรมวินัย โดยเริ่มตั้งแต่พุทธปรินิพพานครั้งแรก จนถึงปัจจุบันมีการสังคายนาเกิดขึ้นหลายครั้งในแต่ละนิกายและประเทศ สำหรับประเทศไทยเอง แม้จะไม่มีการสังคายนาในเชิงพระวินัยระดับโลก แต่ก็มีความพยายามในการปฏิรูปและตรวจสอบคณะสงฆ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การตรากฎหมายคณะสงฆ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือการปรับปรุงกฎหมายคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
ดังนั้น การใช้คำว่า “สังคายนา” ในบริบทปัจจุบันจึงมิใช่เพียงการท่องบ่นพระธรรมวินัย แต่หมายถึงการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การตรวจสอบ และการทำให้คณะสงฆ์กลับคืนสู่หลักวินัยอันเป็นแก่นแท้ของพระศาสนา
บริบทปัญหาและข้อเสนอจากภาครัฐ
กรณีของพระราชวิสุทธิประชานาถ (พระอลงกต) เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จังหวัดลพบุรี ที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสของมูลนิธิ การครอบครองทรัพย์สิน และข้อพิรุธด้านเอกสารการบวช ได้กลายเป็นชนวนที่ทำให้รัฐหยิบยกแนวคิด “สังคายนาคณะสงฆ์” อย่างจริงจัง โดยข้อเสนอสำคัญของนายสุชาติ ได้แก่
การตรวจสอบเชิงระบบ – การตรวจสอบประวัติพระภิกษุ การตรวจร่างกาย (ตรวจเลือด ปัสสาวะ) และการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน เพื่อป้องกันการปฏิบัติที่ไม่สอดคล้องกับสมณเพศ
การสังคายนาหน่วยงานรัฐก่อนคณะสงฆ์ – การวิพากษ์ พศ. และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) โดยเฉพาะกรณีลพบุรี ที่ไม่สามารถรายงานข้อมูลหรือจับสัญญาณความผิดปกติในพื้นที่ได้ ถือเป็นการชี้ให้เห็นถึงปัญหาการบริหารจัดการและการบังคับใช้นโยบายของรัฐ
การมีส่วนร่วมของมหาเถรสมาคม (มส.) – เนื่องจาก มส.เป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ไทย การจะดำเนินการใด ๆ ต้องอาศัยความเห็นชอบและการประสานงานกับผู้ปกครองสงฆ์
การสร้างศรัทธาสาธารณะ – การสังคายนาครั้งนี้มิใช่เพียงเรื่องการจัดการเชิงบริหาร แต่ยังเป็นการฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนที่กำลังสั่นคลอน
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ
1. มายาคติและโครงสร้างการควบคุมคณะสงฆ์
ตลอดประวัติศาสตร์ไทย อำนาจรัฐไม่ได้เพียงอาศัยกฎหมายหรือกองทัพ แต่ยังดำรงอยู่ผ่าน “มายาคติ” ที่หล่อหลอมให้สังคมยอมรับระเบียบเดิม ในบริบทคณะสงฆ์ มายาคติที่สำคัญ เช่น
-
“ศาสนาและชาติคือเกราะป้องกันภัย” – นำไปสู่การควบคุมคณะสงฆ์โดยรัฐภายใต้ข้ออ้างความมั่นคง
-
“ความสงบสำคัญกว่าความยุติธรรม” – ทำให้ปัญหาการทุจริตหรือการผิดพระวินัยถูกกลบเกลื่อนเพื่อรักษาภาพลักษณ์
-
“บ้านเมืองต้องมีผู้ปกครองแบบพ่อแม่” – ทำให้คณะสงฆ์และมหาเถรสมาคมถูกวางไว้ในฐานะอำนาจสูงสุดที่ไม่ถูกตรวจสอบ
มายาคติเหล่านี้สอดคล้องกับสิ่งที่เรียกว่า “Narrative Warfare” หรือสงครามการเล่าเรื่อง ที่ทำให้อำนาจนอกระบบกลายเป็นสิ่งชอบธรรม
2. การสังคายนาในฐานะ Counter-Narrative
การสังคายนาคณะสงฆ์ไทยจึงไม่ใช่แค่การตรวจสอบพระภิกษุ แต่คือความพยายาม “สร้างสำนึกใหม่” (Counter-Narrative) ที่ท้าทายมายาคติเดิม ตัวอย่างเช่น
-
จาก “ความสงบสำคัญกว่าความยุติธรรม” → สู่ “ความยุติธรรมคือเงื่อนไขแท้จริงของศรัทธาและความสงบ”
-
จาก “คณะสงฆ์สูงสุดไม่ต้องตรวจสอบ” → สู่ “องค์กรสงฆ์ต้องมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้”
-
จาก “ศาสนาคือเครื่องมือระดมมวลชน” → สู่ “ศาสนาคือพลังแห่งเมตตาและการอยู่ร่วมกัน”
ดังนั้น “การสังคายนา” คือการสู้เชิงความหมาย ที่พยายามเปลี่ยนจากระเบียบเก่า (มายาคติ) มาสู่การจัดการที่ตั้งอยู่บนเสรีภาพ ความโปร่งใส และศักดิ์ศรีของทั้งพระสงฆ์และฆราวาส
3. มิติการวิเคราะห์การสังคายนา
มิติทางศาสนา
การตรวจสอบและฟื้นฟูพระวินัยเป็นหัวใจ แต่ต้องทำโดยไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นสมณะ มิฉะนั้นจะกลายเป็นการทำลายความศรัทธาแทนการกอบกู้
มิติทางสังคม
ความศรัทธาของประชาชนคือทุนทางสังคม เมื่อเกิดกรณีอื้อฉาว การสังคายนาจึงเป็นเครื่องมือฟื้นฟูศรัทธา และสร้างวัฒนธรรมความโปร่งใสในศาสนจักร
มิติทางการเมือง–รัฐ
การตรวจสอบหน่วยงานรัฐที่กำกับคณะสงฆ์ (พศ. และ พศจ.) ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสังคายนาระบบราชการควบคู่ไปด้วย มิฉะนั้นปฏิรูปสงฆ์อาจล้มเหลวเพราะติดคอขวดเชิงระบบ
4. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
-
การตรวจสอบเชิงระบบ – ตรวจสอบประวัติ บัญชีทรัพย์สิน และพฤติกรรมของพระสงฆ์อย่างโปร่งใส
-
สังคายนาหน่วยงานรัฐ – ปฏิรูปกลไกกำกับดูแลพระพุทธศาสนาให้มีประสิทธิภาพและไม่เป็นแค่พิธีกรรม
-
การมีส่วนร่วมของมหาเถรสมาคม – ต้องสร้างกลไกที่ มส. ไม่ใช่แค่ผู้รับนโยบาย แต่เป็นผู้ร่วมผลักดันการปฏิรูป
-
การสร้างศรัทธาสาธารณะ – การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ลดมายาคติ และสร้างเรื่องเล่าที่จับใจเกี่ยวกับ “พระศาสนาที่โปร่งใสและใกล้ชิดประชาชน”
บทสรุป
การสังคายนาคณะสงฆ์ไทยครั้งใหญ่ไม่ควรถูกมองเพียงในฐานะมาตรการตรวจสอบ แต่ต้องเข้าใจว่าเป็น สมรภูมิการต่อสู้เชิงความหมาย ระหว่าง “มายาคติ” ที่หล่อเลี้ยงโครงสร้างเดิม และ “สำนึกใหม่” ที่ต้องการฟื้นฟูศรัทธาและศักดิ์ศรีของพระพุทธศาสนา
หากการสังคายนาสามารถปลดล็อกมายาคติและสร้างระบบใหม่ที่โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ พระพุทธศาสนาไทยก็จะก้าวพ้นจากการเป็นเพียงเครื่องมือของรัฐและอำนาจนอกระบบ สู่การเป็นพลังทางจิตวิญญาณที่ตอบสนองต่อสังคมไทยอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น