อูซเบกิสตาน (Uzbekistan) เป็นประเทศเอกราชในเอเชียกลางที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตเมื่อกว่า 30 ปีก่อน ปัจจุบันเป็น รัฐโลกวิสัย (Secular State) ที่แม้ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่รัฐได้แยกศาสนาออกจากการเมืองการปกครอง ส่งผลให้สังคมดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อย และเปิดรับความหลากหลายทางศาสนาอย่างกว้างขวาง
สิ่งที่น่าสนใจคือ รัฐบาลและนักโบราณคดีชาวอูซเบกิสตานได้หันมาให้ความสำคัญกับการบูรณะโบราณสถานทางพระพุทธศาสนา ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากนิษกะ (พ.ศ. 393–416) การค้นพบและการฟื้นฟูเหล่านี้สะท้อนถึงบทบาทของเอเชียกลางในอดีตในฐานะศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาและเส้นทางสายไหมทางวัฒนธรรม
1. ลักษณะของรัฐและการวางผังเมือง
อูซเบกิสตานได้รับอิทธิพลด้านการวางผังเมืองจากรัสเซีย ทำให้เมืองสำคัญ เช่น ทาชเคนต์ (Tashkent) และ สมาร์กันด์ (Samarkand) มีโครงสร้างเมืองที่เป็นระเบียบ ถนนกว้างขวาง และไม่แออัดเหมือนเมืองใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะนี้แสดงถึงการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ยุโรปรัสเซียกับวัฒนธรรมมุสลิมท้องถิ่นได้อย่างลงตัว
2. มิติทางศาสนาและวัฒนธรรม
แม้อิสลามจะเป็นศาสนาหลักของอูซเบกิสตาน แต่ทั้งรัฐและประชาชนกลับมีท่าทีเปิดกว้างต่อศาสนาอื่น เจ้าหน้าที่รัฐได้ยืนยันว่า “อูซเบกิสตานยินดีต้อนรับทุกศาสนา” ซึ่งแสดงถึงการใช้ Soft Power ทางวัฒนธรรมในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
การฟื้นฟูโบราณสถานพุทธ เช่น สถูป วัด และเจดีย์ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ยืนยันว่าพุทธศาสนาเคยรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในยุค สรรวาสติวาทะ และ มหายาน นักวิชาการด้านพุทธจึงมองอูซเบกิสตานว่าเป็นดินแดนรอยต่อสำคัญระหว่างอินเดีย จีน และเปอร์เซีย
3. มิติทางการทูตวัฒนธรรม
กงสุลใหญ่อูซเบกิสตานประจำประเทศไทยได้อาราธนา พระพรหมวชิรคุณาธาร เดินทางไปในฐานะ “ทูตวัฒนธรรม” ของไทย เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม แม้พุทธศาสนาจะไม่ใช่ศาสนาหลักของอูซเบกิสตาน แต่รัฐได้มองเห็นศักยภาพในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับประเทศพุทธ เช่น ไทยและญี่ปุ่น ผ่าน การท่องเที่ยวเชิงศาสนา และ การศึกษาทางโบราณคดี
4. ประสบการณ์การเดินทางและ “รอยยิ้ม” แห่งอูซเบกิสตาน
คณะทูตวัฒนธรรมชาวพุทธจากไทยเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังทาชเคนต์ ต่อด้วย รถไฟกลางคืน (Night Train) ข้ามทะเลทรายเข้าสู่สมาร์กันด์ แม้จะใช้เวลายาวนานกว่า 12–15 ชั่วโมง แต่การต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าภาพทำให้ความเหน็ดเหนื่อยหมดไป
ผู้ว่าราชการท้องถิ่นได้จัดพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ มีการถวาย โรตีและน้ำผึ้ง ตามประเพณีอูซเบกิสถานแก่พระพรหมวชิรคุณาธารและคณะ สิ่งที่สร้างความประทับใจที่สุดคือ “รอยยิ้มของชาวมุสลิมอูซเบกิสถาน” ที่เต็มไปด้วยมิตรไมตรีและความจริงใจ จนเกิดการขนานนามว่า “Uzbekistan of Smile”
5. ข้อสังเกตเชิงวิชาการ
-
รัฐโลกวิสัยกับศาสนา – อูซเบกิสตานเป็นตัวอย่างของรัฐที่แม้ประชากรนับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ แต่ยังคงเปิดกว้างและไม่กีดกันศาสนาอื่น
-
ความทรงจำทางพระพุทธศาสนา – โบราณสถานที่ค้นพบยืนยันว่าเอเชียกลางเคยเป็นพื้นที่สำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและเส้นทางสายไหมทางศาสนา
-
การทูตวัฒนธรรม – บทบาทของพระสงฆ์ไทย โดยเฉพาะพระพรหมวชิรคุณาธาร เป็นกรณีศึกษาเรื่องการใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างสัมพันธ์เชิงอ่อน (Soft Diplomacy)
-
อัตลักษณ์เชิงสัญลักษณ์ – “รอยยิ้มของชาวมุสลิม” แสดงถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมพหุวัฒนธรรม และสามารถพัฒนาเป็นแบรนด์เชิงวัฒนธรรมของชาติ
บทสรุป
การย้อนรอยพระพุทธศาสนาในอูซเบกิสตานสะท้อนให้เห็นว่า ดินแดนแห่งนี้มิใช่เพียงแค่ศูนย์กลางอิสลามในเอเชียกลาง แต่ยังเคยเป็นพื้นที่สำคัญของพุทธศาสนาในอดีตด้วย การที่รัฐบาลอูซเบกิสตานเปิดกว้างต่อการบูรณะโบราณสถานพุทธและการทูตวัฒนธรรมกับไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่บนเวทีโลก ความเป็น รัฐโลกวิสัย ทำให้อูซเบกิสตานสามารถต้อนรับทุกศาสนาอย่างเสมอภาค และส่งเสริม Soft Power ของตนผ่าน “รอยยิ้ม” ที่สะท้อนถึงความจริงใจและมิตรภาพของชาวมุสลิมในดินแดนแห่งนี้
ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊กBanjob Bannaruji - บ้านบรรณรุจิ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น