พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมและสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นศาสนา หากแต่เป็นระบบคิดที่ส่งอิทธิพลต่อการเมือง การปกครอง และการศึกษา อย่างไรก็ตาม ในโลกสมัยใหม่ที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สถาบันทางพระพุทธศาสนาของไทย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยสงฆ์ จำเป็นต้องปรับตัวให้ก้าวทัน เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในสถานะ “เครื่องมือรัฐ” หรือ “พิธีกรรมเชิงสัญลักษณ์” อย่างที่นักวิชาการ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยวิจารณ์คณะสงฆ์ไทยในเชิงโครงสร้าง
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ว่า การปฏิรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยควรดำเนินไปในทิศทางใด จึงจะสามารถตอบโจทย์สังคมโลกได้อย่างแท้จริง โดยพิจารณาจาก (1) บทบาทเชิงสาธารณะของคณะสงฆ์ในบริบทประวัติศาสตร์การเมือง (2) เปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาในต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น (3) แนวทางพัฒนามหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยบนฐานการสร้างนวัตกรรม ความรู้ และคุณธรรมที่เชื่อมโยงกับศตวรรษที่ 21
1. บทบาทคณะสงฆ์ไทย : ข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง
กรณีพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา สะท้อนข้อจำกัดของ “พุทธไทย” ในการเป็นพลังสาธารณะ คณะสงฆ์ไทยมิได้แสดงบทบาทเชิงไกล่เกลี่ยหรือเสริมสร้างสันติภาพ ทั้งที่พุทธศาสนาเป็นรากฐานร่วมกันของทั้งสองประเทศ สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับข้อสังเกตของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่มองว่า “พุทธไทย” เหลือเพียงพิธีกรรมและการตอบโจทย์ระดับปัจเจก เช่น การสอนให้ “ทำใจ” แต่ไม่สามารถตอบโจทย์เชิงโครงสร้างของสังคม
สาเหตุสำคัญคือ คณะสงฆ์ไทยถูกกำกับโดยรัฐภายใต้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และการแก้ไขต่อมา ทำให้ขาดความเป็นอิสระ ไม่สามารถพัฒนาแนวคิดและการตีความทางศาสนาเพื่อรองรับโจทย์สังคมโลกได้เต็มที่ ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยซึ่งเป็นแขนงการศึกษาของคณะสงฆ์ ก็ย่อมได้รับผลกระทบเชิงโครงสร้างเดียวกัน
2. การปฏิรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์ : บทเรียนจากญี่ปุ่น
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศญี่ปุ่น มหาวิทยาลัย ริวโคคุ (Ryukoku University – 龍谷大学) ถือเป็นต้นแบบที่สะท้อนความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาพระพุทธศาสนาให้เชื่อมโยงกับโลกสมัยใหม่ ปัจจัยที่ทำให้ริวโคคุได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก ได้แก่
-
รากฐานทางประวัติศาสตร์ – สถาปนาตั้งแต่ ค.ศ.1639 โดยนิกายโจโดชินชู เชื่อมโยงโดยตรงกับวัดและการปฏิบัติจริง
-
การเรียนการสอนที่ครอบคลุม – เปิดสอนทั้งพุทธศาสนาเถรวาท มหายาน วัชรยาน และการศึกษาข้ามสาขา
-
เครือข่ายนานาชาติ – มีความร่วมมือกับสถาบันวิชาการทั่วโลก ทำให้เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนทางความรู้และวัฒนธรรม
-
งานวิจัยระดับสากล – ผลิตองค์ความรู้ใหม่ ตีพิมพ์ในเวทีนานาชาติ
-
เอกลักษณ์การบูรณาการ – ผสาน “ศรัทธา” กับ “วิชาการ” อย่างลงตัว
นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาสำหรับสตรี เช่น Komazawa Women’s University หรือ Musashino University ซึ่งสะท้อนการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงเข้าถึงการศึกษาพุทธศาสนาอย่างเท่าเทียม เป็นการเชื่อมโยงมิติศาสนากับสิทธิมนุษยชนร่วมสมัย
3. บทบาทและวิสัยทัศน์มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย
ในประเทศไทย มหาวิทยาลัยสงฆ์ เช่น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร ) และ มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร) มีความพยายามพัฒนาเพื่อก้าวทันโลก โดยเฉพาะ มจร ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้อยู่ลำดับสองของโลกด้านพระพุทธศาสนา รองจากริวโคคุ
พระสุธีรัตนบัณฑิต, รศ.ดร. คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มจร ได้เสนอวิสัยทัศน์ว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยต้องมุ่งไปสู่ “มหาวิทยาลัยที่เท่าทันต่อโลกและนำโลกสู่ความสงบสุข” ผ่านการศึกษาใน 4 มิติ ได้แก่
-
องค์ความรู้บูรณาการ – ข้ามศาสตร์และเชื่อมโยงกับสังคม
-
ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 – การคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการสื่อสาร
-
คุณธรรมจริยธรรม – สร้างคนดีที่มีความสุขและรับผิดชอบต่อสังคม
-
ลักษณะผู้นำและนวัตกร – สร้างต้นแบบการบริหารและการเปลี่ยนแปลงสังคม
การทำวิทยานิพนธ์ในระดับบัณฑิตศึกษาและปริญญาเอกถูกย้ำให้เป็น การสร้างองค์ความรู้ใหม่ + การสร้างสรรค์สังคม โดยยึดหลักจริยธรรมวิจัย (Research Ethics) อย่างเคร่งครัด
4. แนวทางปฏิรูปเพื่อเชื่อมโยงสังคมโลก
เพื่อให้มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยสามารถตอบโจทย์สังคมโลกได้ จำเป็นต้องดำเนินการในประเด็นสำคัญ ดังนี้
-
ยกระดับการวิจัยและนวัตกรรม – จากการท่องจำบาลี ไปสู่การผลิตองค์ความรู้ใหม่ที่เชื่อมโยงสังคมร่วมสมัย เช่น พุทธศาสนากับสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี จริยธรรมดิจิทัล และการแก้ความขัดแย้งทางการเมือง
-
สร้างเครือข่ายนานาชาติ – ร่วมมือกับสถาบันพุทธศาสนาในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และขยายอิทธิพลของพุทธไทย
-
เปิดพื้นที่สตรีและฆราวาส – ตามตัวอย่างญี่ปุ่น ควรสร้างมหาวิทยาลัยหรือหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงและฆราวาสเข้าถึงการศึกษาพุทธศาสนาอย่างเสมอภาค
-
ปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายและอิสระทางวิชาการ – มหาวิทยาลัยสงฆ์ต้องไม่ถูกจำกัดโดยระบบราชการหรือการเมือง แต่ควรมีอิสระในการวิจัย การตีความ และการพัฒนาหลักสูตร
-
บูรณาการพุทธศาสนากับปัญหาสังคมโลก – เช่น สันติภาพ สิทธิมนุษยชน ความเหลื่อมล้ำ และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้พุทธไทยเป็น “พลังเชิงสาธารณะ” ไม่ใช่เพียงการสอนให้คน “ทำใจ”
บทสรุป
การปฏิรูปมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงการปรับโครงสร้างภายใน แต่ต้องเชื่อมโยงกับโจทย์ของสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 หากมหาวิทยาลัยสงฆ์ยังอยู่ในกรอบรัฐและขาดอิสระ ก็จะเสี่ยงกลายเป็น “เฟอร์นิเจอร์ทางวัฒนธรรม” ที่มีแต่ชื่อแต่ไร้บทบาทเชิงสาธารณะ
ในทางกลับกัน หากมหาวิทยาลัยสงฆ์ไทยสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง สร้างงานวิจัยระดับนานาชาติ เปิดพื้นที่ความหลากหลาย และเชื่อมโยงกับปัญหาสังคมโลกได้อย่างแท้จริง ก็จะสามารถทำหน้าที่เป็น ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้และสร้างสันติภาพ ทั้งในระดับชาติและภูมิภาค

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น