สถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาในช่วงปี 2568 ได้สะท้อนความท้าทายหลายมิติ ทั้งทางการทหาร การทูต เศรษฐกิจ การสื่อสาร และประเด็นสิทธิมนุษยชน ขณะเดียวกัน ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยสามารถสร้างความได้เปรียบใน 5 มิติแล้ว ได้แก่ การทหาร การทูต เศรษฐกิจ สื่อ และการประจานความไม่ชอบธรรมของกัมพูชา แต่ยังเหลือโจทย์สำคัญที่ยากที่สุดคือ การสร้างความศรัทธาและความเชื่อมั่นในประชาชนของตนเอง
ประเด็นนี้สะท้อนว่า แม้ชัยชนะในเวทีระหว่างประเทศและสมรภูมิอื่น ๆ จะชัดเจน หากประชาชนยังไม่มั่นใจในรัฐบาล ความมั่นคงทางสังคมและการเมืองก็อาจสั่นคลอนได้ บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์แนวทางที่รัฐบาลไทยควรใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากกรณีศึกษาเขมร โดยอ้างอิงทั้งข้อเสนอของดร.ปลอดประสพและหลักการเชิงนโยบายสาธารณะ
1. ความท้าทายด้านความเชื่อมั่นของประชาชน
วิกฤตศรัทธา: ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้ง ประชาชนบางส่วนไม่ไว้วางใจต่อการสื่อสารและการแสดงออกของรัฐบาล
ความแตกต่างของการรับรู้: คนไทย “รักชาติ” เหมือนกัน แต่มีมุมมองและเวลาในการตีความต่างกัน จึงเกิดความไม่เป็นเอกภาพ
ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเมือง: หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ อาจนำไปสู่แรงกดดันทางการเมืองและกระทบต่อการกำหนดนโยบายในอนาคต
2. มิติแห่งชัยชนะ 5 ด้าน: บทเรียนต่อการสร้างความเชื่อมั่น
ด้านการทหาร: การครองพื้นที่ยุทธศาสตร์และความได้เปรียบเชิงกำลังเป็นปัจจัยเสริมความมั่นใจของประชาชน แต่ต้องสื่อสารอย่างโปร่งใสเพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็น “ชัยชนะเชิงตัวเลข” ที่ไม่สะท้อนชีวิตจริง
ด้านการทูต: การสร้างเครือข่ายทั้งในระดับประเทศและองค์การระหว่างประเทศ สะท้อนภาพลักษณ์ไทยในฐานะประเทศที่ยึดมั่นในกติกาสากล สิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็น “ทุนความชอบธรรม” ที่สร้างศรัทธาภายใน
ด้านเศรษฐกิจ: แม้ประชาชนต้อง “เจ็บระยะสั้น” จากการปิดด่านหรือจำกัดการค้าชายแดน แต่หากรัฐบาลชี้ให้เห็นประโยชน์ระยะยาว และมีมาตรการรองรับผลกระทบ จะช่วยเสริมความเข้าใจและความเชื่อมั่นได้
ด้านสื่อสารมวลชน: การใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการเข้าถึงสื่อต่างประเทศ สามารถสะท้อนความจริงและสร้างแรงหนุนระหว่างประเทศ พร้อมกับใช้สื่อภายในเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน
ด้านการเปิดโปงความไม่ชอบธรรมของกัมพูชา: การเน้นให้โลกเห็นภาพ “เขมรละเมิดสิทธิมนุษยชน” เช่น คอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และทุ่นระเบิด นอกจากสร้างแรงกดดันภายนอกแล้ว ยังเสริมความภูมิใจให้ประชาชนว่าไทยยืนอยู่ฝ่ายธรรม
3. แนวทางสร้างความเชื่อมั่นในประชาชน
3.1 การสื่อสารและภาพลักษณ์ผู้นำ
รัฐบาลต้องปรับโทนการสื่อสาร ลดภาษาการเมืองที่ซับซ้อน ใช้ภาษาที่เข้าถึงง่ายและสร้างแรงบันดาลใจ
ผู้นำควรแสดงบทบาท “วาทยากร” (Conductor) ที่สามารถผสมผสานความรักชาติของประชาชนทุกกลุ่มให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน
3.2 การใช้ทุนทางวัฒนธรรมและความรักชาติ
นำ “บทเพลงปลุกใจ” หรือสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์มาใช้เป็นพลังสร้างความสามัคคี
จัดกิจกรรมที่ทำให้ประชาชนรู้สึกมีส่วนร่วม เช่น การระดมทุนช่วยเหลือทหาร การรณรงค์ต่อต้านทุ่นระเบิด
3.3 การเชื่อมโยงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การบริหารเศรษฐกิจและงบประมาณภายใต้หลักพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกัน จะช่วยให้ประชาชนมั่นใจในความมั่นคงทางการคลัง
ตัวอย่างเช่น การบริหารงบประมาณปี 2569 ต้องชี้ให้เห็นว่าเป็นไปเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
3.4 การสร้างกลไกการมีส่วนร่วม
เปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชน องค์กรท้องถิ่น และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการพัฒนานโยบาย
การมีส่วนร่วมจะทำให้ประชาชนรู้สึกเป็น “เจ้าของ” ประเทศอย่างแท้จริง
สรุป
การสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลไทยจากกรณีศึกษาเขมร ไม่ใช่เพียงการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ แต่เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยง ชัยชนะภายนอก เข้ากับ ความมั่นคงภายใน การใช้บทเรียนจาก 5 มิติที่ไทยมีความได้เปรียบ ผนวกกับการพัฒนากลยุทธ์สื่อสาร การยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน จะเป็นกุญแจสำคัญให้รัฐบาลสามารถเสริมสร้างศรัทธา ความไว้วางใจ และความเป็นเอกภาพในชาติได้อย่างยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น