วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2568

คดีคลิปฉาวพระฉันบวบ! ที่ปรึกษากรรมาธิการศาสนา จี้สอบพิสูจน์อัตลักษณ์-หากผิดต้องสึก


คลิปหลุดเจ้าอาวาสเชียงรายสัมพันธ์ชายหนุ่ม สร้างกระแสวิพากษ์ร้อน ดำเนินการตั้งกรรมการสอบ-ส่งตรวจนิติวิทยาศาสตร์ ที่ปรึกษากรรมาธิการศาสนาชี้ขั้นตอนสอบสวนชัดเจน พร้อมสั่งออกนอกพื้นที่ป้องกันแทรกแซงกระบวนการ หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้โพสต์คลิปเท็จเสี่ยงเจอโทษอาญา-แพ่งตามกฎหมายหลายมาตรา

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ดร.ณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดเผยถึงกรณีคลิปฉาวเจ้าอาวาสวัดดังใน จ.เชียงราย ที่มีภาพความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชายหนุ่มแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ สร้างความเสื่อมเสียศรัทธาอย่างรุนแรง โดยเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากความขัดแย้งภายในวัด ทำให้ชาวบ้านเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและให้เจ้าอาวาสลาสิกขาเพื่อรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ดร.ณพลเดช กล่าวว่า จากการประสานงานกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย ได้ข้อสรุปถึงแนวทางการดำเนินการดังนี้:

1. ตั้งคณะกรรมการสอบสวน: โดยมี พระครูสิริธรรมนิวิฐ เจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงราย เป็นประธาน เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงกับพระครูประจักษณ์วรวัฒน์ ผู้ถูกกล่าวหา

2. ส่งคลิปพิสูจน์อัตลักษณ์: เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาปฏิเสธว่าไม่ใช่ตน คณะกรรมการจึงมีมติให้นำคลิปวิดีโอเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์โดยตำรวจพิสูจน์หลักฐานและตำรวจไซเบอร์ภายใน 7 วัน

3. สั่งให้ออกนอกพื้นที่: ระหว่างรอผลการพิสูจน์ ได้มีคำสั่งให้พระครูประจักษณ์วรวัฒน์ออกจากพื้นที่วัดไปก่อนภายใน 7 วัน เพื่อป้องกันการเข้าไปยุ่งเหยิงกับกระบวนการ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหายินยอมปฏิบัติตาม

ตนได้ชื่นชมว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย หากผิดจริงก็ควรให้สึก โดยในทางพระธรรมวินัย การพิจารณาโทษต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจง โดยคณะสงฆ์ร่วมพิจารณา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของพระศาสนา ส่วนในทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 27 หากกระบวนการพิจารณาพบว่าพระสงฆ์ผิด เจ้าคณะผู้พิจารณาสามารถวินิจฉัยให้สึกได้ภายใน 3 วันได้ และมาตรา 29 ให้อำนาจตำรวจในการดำเนินการให้ "สละสมณเพศ"(ถอดจีวร) หากมีการกระทำผิดอาญา แต่การ "สึก" (พ้นจากความเป็นพระ) อย่างสมบูรณ์ยังคงเป็นอำนาจของสงฆ์ตามพระธรรมวินัยเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ดร.ณพลเดช ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หากผลการพิสูจน์สรุปว่าพระสงฆ์รูปดังกล่าวเป็นผู้บริสุทธิ์ ให้ผู้เสียหายหรือประชาชน ตามกรอบกฎหมายให้อำนาจ สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษผู้ที่โพสต์คลิปและข้อความเท็จได้ตามกฎหมายหลายฉบับ ดังนี้

ป.อาญา มาตรา 137: แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท

ป.อาญา มาตรา 326: ความผิดฐานหมิ่นประมาท โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท

พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14: นำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท

ป.พ.พ. มาตรา 420: ความผิดฐานละเมิด สามารถฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...