ความขัดแย้งทางการเมืองมักถูกอธิบายด้วยกรอบการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง หรือนโยบายเศรษฐกิจ หากแต่ James Davison Hunter (1991) เสนอว่า รากฐานที่แท้จริงคือ “สงครามวัฒนธรรม” (Culture Wars) ที่สะท้อนการปะทะกันของ สองระบบคุณค่า (Two Moralities) ได้แก่ Orthodox Morality กับ Progressive Morality ซึ่งยากจะหาจุดตรงกลางเพราะต่างยืนอยู่บนฐานคุณค่าที่ไม่อาจถอยได้
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ นำกรอบนี้มาวิเคราะห์ความขัดแย้งในไทย โดยชี้ว่า “Deep State แบบไทย ๆ” ทำให้ความขัดแย้งของคุณค่าถูกบิดเบือนเป็นเกม Zero-Sum และเสนอการสร้าง Principled State เป็นทางออกที่พ้นจากวงจรอำนาจนิยม อุปถัมภ์ และอภิสิทธิ์ชน
เมื่อฉายกรอบนี้กับ “คณะสงฆ์ไทย” ก็จะเห็นความคล้ายคลึงระหว่างปัญหาการเมืองและการจัดการศาสนจักร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโจทย์การปรับตัวของพระพุทธศาสนาไทยท่ามกลางแรงกดดันทางสังคม
1. กรอบแนวคิด: Two Moralities และ Culture Wars
Hunter แบ่งระบบคุณค่าออกเป็นสองขั้ว:
-
Orthodox Morality → ยึด “ความจริงสัมบูรณ์” อิงศาสนาและจารีต ตัวอย่าง: ต่อต้านการทำแท้ง ยึดครอบครัวชาย–หญิง
-
Progressive Morality → เชื่อใน “ความจริงสัมพัทธ์” อิงเหตุผล วิทยาศาสตร์ และสิทธิบุคคล ตัวอย่าง: สนับสนุนสิทธิการทำแท้ง และสมรสเพศเดียวกัน
ความแตกต่างนี้สะท้อน “สงครามคุณค่า” ที่ไม่อาจแก้ได้ด้วยการประนีประนอมเชิงนโยบาย หากแต่ต้องออกแบบระบบอยู่ร่วมกันที่ยอมรับคุณค่าที่หลากหลาย
2. จาก Culture Wars สู่ Identity Wars
ประเด็นเรื่อง LGBTQ+ หรือการศึกษาในสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงนโยบาย แต่คือ สงครามอัตลักษณ์ (Identity Wars) เกี่ยวกับการกำหนดว่า “อะไรคือความหมายของชาติ”
ในทำนองเดียวกัน สังคมไทยกำลังถกเถียงว่า “อะไรคือความหมายของความเป็นไทย” และ “อะไรคือความหมายของพระพุทธศาสนาไทย” ระหว่างฝ่ายที่ยึดจารีตศักดิ์สิทธิ์กับฝ่ายที่ผลักดันการปฏิรูป
3. การฉายกรอบ Hunter สู่การเมืองไทยและคณะสงฆ์
หากนำเลนส์ Two Moralities มามองไทย จะพบความคล้ายคลึงชัดเจน:
-
ฝ่ายอนุรักษ์นิยม (Orthodox) → ยึดคุณค่าศักดิ์สิทธิ์ ศาสนา และสถาบันหลัก
-
ฝ่ายก้าวหน้า (Progressive) → เน้นสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และการปฏิรูป
แต่สิ่งที่ทำให้ไทยต่างคือ “Deep State แบบไทย ๆ” ซึ่งบิดเบือนความขัดแย้งให้เป็นเกม Zero-Sum โดยฝ่ายจารีตถูกยกเป็น “ความจริงสูงสุด” ส่วนฝ่ายก้าวหน้าถูกตีตราเป็นภัยต่อความมั่นคง
ในคณะสงฆ์ไทย เราจะพบปรากฏการณ์ใกล้เคียง:
-
ฝ่ายจารีตนิยม → ยึดการปกครองคณะสงฆ์แบบรวมศูนย์ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ และเน้นศักดิ์ศรีของสมณศักดิ์
-
ฝ่ายก้าวหน้า → เรียกร้องความโปร่งใสในการจัดการทรัพย์สิน การกระจายอำนาจในคณะสงฆ์ และการเปิดพื้นที่ให้พระภิกษุ–สามเณร–ฆราวาสมีส่วนร่วม
4. เสาเข็มทางคุณค่า: Deep State และคณะสงฆ์
ดร.สุวิทย์ วิเคราะห์ว่า Deep State ไทยดำรงอยู่ได้เพราะเสาเข็มคุณค่า 3 ประการ ซึ่งสะท้อนในคณะสงฆ์เช่นกัน:
-
ระบบอุปถัมภ์ (Patron–Client)
-
การแต่งตั้งสมณศักดิ์และตำแหน่งบริหารขึ้นกับสายสัมพันธ์มากกว่าความสามารถ
-
-
อำนาจนิยม (Authoritarianism)
-
การตัดสินใจรวมศูนย์อยู่ในมหาเถรสมาคม ขาดการมีส่วนร่วมจากพระสงฆ์ระดับล่าง
-
-
อภิสิทธิ์ชน (Elite Privilege)
-
พระชั้นผู้ใหญ่บางรูปมีอำนาจและอภิสิทธิ์มากกว่าพระทั่วไป นำไปสู่การถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นธรรม
-
ตราบใดที่เสาเข็มเหล่านี้ยังคงอยู่ การปฏิรูปคณะสงฆ์ก็จะติดอยู่ในวังวนเช่นเดียวกับการเมืองไทย
5. จาก Deep State → Principled Sangha
ดร.สุวิทย์ เสนอการเปลี่ยนผ่านจาก Deep State สู่ Principled State ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับคณะสงฆ์ไทยในฐานะ Principled Sangha ได้เช่นกัน โดยตั้งอยู่บนเสาเข็มใหม่:
-
Rule-based Fairness → การบริหารคณะสงฆ์ที่ยึดกติกาและหลักพระธรรมวินัยมากกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัว
-
Responsible Leadership → ผู้นำสงฆ์ที่ยึดหลักความรับผิดชอบ โปร่งใส และรับฟังเสียงสงฆ์–ฆราวาส
-
Equal Dignity → การยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม เปิดพื้นที่ให้สตรีและผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้ามามีบทบาทในกิจการพระพุทธศาสนาในกรอบที่เหมาะสม
6. การบูรณาการกับหลักพุทธธรรม
การแก้ไขความขัดแย้งในคณะสงฆ์ควรตั้งอยู่บนหลักพุทธธรรม เช่น:
-
มัชฌิมาปฏิปทา → ทางสายกลางที่ไม่สุดโต่งทั้งการยึดจารีตอย่างแข็งทื่อหรือการปฏิรูปแบบปฏิเสธรากเหง้า
-
พรหมวิหาร 4 → เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นกรอบคุณธรรมของผู้นำสงฆ์และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
-
สังคหวัตถุ 4 → ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา ใช้สร้างความไว้วางใจระหว่างพระสงฆ์และสังคม
-
อิทธิบาท 4 → ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นหลักพัฒนาความเป็นผู้นำเชิงคุณธรรม
บทสรุป
การวิเคราะห์ The Two Moralities ของ Hunter และการต่อยอดโดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ทำให้เห็นว่า ความขัดแย้งไทยไม่ต่างจาก Culture Wars ในสหรัฐฯ แต่ซับซ้อนกว่าเพราะซ้อนทับด้วย Deep State และเสาเข็มคุณค่าที่หยั่งรากลึก
เมื่อฉายกรอบนี้กับคณะสงฆ์ไทย จะเห็นความจำเป็นของการเปลี่ยนจาก “คณะสงฆ์แบบอุปถัมภ์–อำนาจนิยม–อภิสิทธิ์ชน” ไปสู่ “Principled Sangha” ที่ตั้งอยู่บนความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ และศักดิ์ศรีที่เท่าเทียม
การบูรณาการกับหลักพุทธธรรมจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยคลี่คลาย “สงครามคุณค่า” ภายในพระพุทธศาสนาไทย ให้ก้าวข้ามจากความขัดแย้งแบบ Zero-Sum ไปสู่ “ความตึงเครียดเชิงสร้างสรรค์” ที่เป็นพลังในการธำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่สังคมไทยอย่างยั่งยืน
บทความทางวิชาการ
วิเคราะห์ The Two Moralities: ถอดรหัสสงครามคุณค่าจากการเมืองอเมริกัน สู่ Deep State ไทย
จากมุมมอง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์
บทนำ
ความขัดแย้งทางการเมืองมักถูกอธิบายด้วยกรอบการแข่งขันของพรรคการเมือง นโยบายเศรษฐกิจ หรือการแบ่งขั้วซ้าย–ขวา อย่างไรก็ตาม James Davison Hunter นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน เสนอว่ารากฐานของความขัดแย้งในสหรัฐอเมริกาไม่ได้อยู่ที่นโยบายเพียงอย่างเดียว แต่คือ “สงครามวัฒนธรรม” (Culture Wars) ที่สะท้อนการปะทะกันของ “สองระบบคุณค่า” (Two Moralities): Orthodox Morality และ Progressive Morality
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้นำกรอบคิดนี้มาส่องดูการเมืองไทย โดยเชื่อมโยงกับโครงสร้าง “Deep State แบบไทย ๆ” และตั้งคำถามสำคัญว่า ประเทศไทยจะเดินไปสู่การเป็น Principled State ได้อย่างไร หากยังปล่อยให้เสาเข็มคุณค่าของระบบอุปถัมภ์ อำนาจนิยม และอภิสิทธิ์ชนค้ำยันโครงสร้าง Deep State อยู่
1. กรอบแนวคิด: Two Moralities และ Culture Wars
Hunter (1991) เสนอว่า ความขัดแย้งหลักในสังคมอเมริกันคือการปะทะกันของสองระบบศีลธรรม
-
Orthodox Morality
-
เชื่อใน “ความจริงสัมบูรณ์” (Absolute Truths) อิงศาสนา จารีต ความศักดิ์สิทธิ์
-
สิ่งที่ดี–ชั่ว ถูก–ผิด มีอยู่โดยตัวของมันเอง
-
ตัวอย่าง: ต่อต้านการทำแท้ง ปกป้องครอบครัวชาย–หญิง
-
-
Progressive Morality
-
เชื่อว่า “ความจริงเป็นสัมพัทธ์” (Relative Truths) และปรับเปลี่ยนได้ตามบริบท
-
ยึดเหตุผล วิทยาศาสตร์ และสิทธิของปัจเจกบุคคล
-
ตัวอย่าง: สนับสนุนสิทธิการทำแท้ง ผลักดันสมรสเพศเดียวกัน
-
ความขัดแย้งนี้ไม่สามารถ “หาจุดตรงกลาง” ได้ง่าย เพราะทั้งสองฝ่ายยืนอยู่บนฐานคุณค่าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง และต่างเชื่อว่าการถอยคือการทรยศต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิทธิขั้นพื้นฐาน
2. จาก Culture Wars สู่ Identity Wars
ความขัดแย้งเรื่องสิทธิทำแท้ง LGBTQ+ หรือการศึกษาในอเมริกา จึงไม่ใช่เพียงเรื่องนโยบาย แต่เป็น “สงครามอัตลักษณ์” (Identity Wars) เกี่ยวกับการนิยาม “ความหมายของชาติ” (Nation’s Meaning and Identity) คำถามสำคัญคือ ใครมีสิทธิในการกำหนดว่า “อะไรคืออเมริกันที่แท้จริง”
บทเรียนสำคัญจากสหรัฐฯ คือ ความขัดแย้งลักษณะนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการต่อรองทางนโยบายเท่านั้น แต่ต้องการ “ระบบการอยู่ร่วมกัน” (Coexistence Framework) ที่ยอมรับว่าคุณค่าทั้งสองระบบสามารถมีที่ทางภายใต้กติกาที่เป็นธรรม
3. การฉายกรอบ Hunter กับการเมืองไทย: Deep State Mode
หากนำเลนส์ Two Moralities มาส่องประเทศไทย จะพบความคล้ายคลึงที่ชัดเจน
-
ฝ่ายจารีตนิยม/อนุรักษ์นิยม (Orthodox)
เน้นคุณค่าความศักดิ์สิทธิ์ ศาสนา สถาบันหลักของชาติ -
ฝ่ายเสรีนิยม/ก้าวหน้า (Progressive)
เน้นสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และการปฏิรูป
แต่สิ่งที่ทำให้ไทยต่างจากสหรัฐฯ คือ “Deep State แบบไทย ๆ” ที่บิดเบือนความขัดแย้งของสองระบบคุณค่าให้กลายเป็นเกมแบบ Zero-Sum ซึ่งฝ่ายหนึ่งถูกยกขึ้นเป็น “ความจริงสูงสุด” ขณะที่อีกฝ่ายถูกตีตราเป็นภัยต่อความมั่นคง
ดร.สุวิทย์ชี้ว่า หากไทยยังติดอยู่ใน Deep State Mode ความขัดแย้งจะไม่สามารถเปลี่ยนเป็น “ความตึงเครียดเชิงสร้างสรรค์” (Constructive Tension) ได้ แต่จะวนเวียนในวงจรการทำลายล้าง
4. เสาเข็มทางคุณค่า: ฐานรากของ Deep State
โครงสร้าง Deep State อยู่รอดได้ไม่ใช่เพียงเพราะอำนาจเชิงสถาบัน แต่เพราะเสาเข็มทางคุณค่าที่หยั่งรากลึกในสังคมไทย ได้แก่
-
ระบบอุปถัมภ์ (Patron–Client)
-
ความมั่นคงขึ้นกับ “ผู้ใหญ่/ผู้มีบารมี” มากกว่ากติกา
-
คนจำนวนมากเลือก “นาย” มากกว่า “ระบบ”
-
-
อำนาจนิยม (Authoritarianism)
-
เชื่อว่าผู้นำเข้มแข็งสำคัญกว่าการถกเถียงเสรี
-
ความสงบถูกยกสูงกว่าความเป็นธรรม
-
-
อภิสิทธิ์ชน (Elite Privilege)
-
คนบางกลุ่มถูกมองว่ามีสิทธิมากกว่าคนอื่น
-
ความเท่าเทียมไม่เคยหยั่งรากอย่างแท้จริง
-
ตราบใดที่เสาเข็มเหล่านี้ยังไม่ถูกถอน การรื้อโครงสร้าง Deep State ก็จะไม่ยั่งยืน
5. จาก Deep State → Principled State
ดร.สุวิทย์เสนอว่า ทางออกของไทยไม่ใช่การล้มล้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่คือการสร้าง “สนามแข่งขันที่เท่าเทียม” ภายใต้ Principled State ซึ่งตั้งอยู่บนเสาเข็มคุณค่าใหม่
-
Rule-based Fairness แทนระบบอุปถัมภ์
-
Responsible Leadership แทนอำนาจนิยม
-
Equal Dignity แทนอภิสิทธิ์ชน
ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้ ความแตกต่างเชิงคุณค่าจะไม่ถูกใช้เป็นอาวุธ แต่กลายเป็นพลังร่วมในการสร้าง Common Ground และ Common Good เพื่ออนาคตของชาติ
บทสรุป
การวิเคราะห์ Two Moralities ของ Hunter และการต่อยอดโดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เปิดให้เห็นว่า ความขัดแย้งในสังคมไทยไม่ต่างจาก “Culture Wars” ในสหรัฐฯ หากแต่ซับซ้อนกว่าเพราะถูกซ้อนทับด้วย Deep State และเสาเข็มคุณค่าที่หยั่งรากลึก
โจทย์ใหญ่ของไทยจึงไม่ใช่แค่การปฏิรูปโครงสร้าง แต่คือการปฏิรูป “ระบบคุณค่า” ที่ค้ำยันโครงสร้างนั้น หากไทยสามารถยกระดับความขัดแย้งของสองระบบคุณค่าให้อยู่ร่วมกันได้ในสนามแข่งขันที่เป็นธรรม ประเทศจะเปลี่ยนจากการติดอยู่ในวงจร Zero-Sum Game สู่การสร้าง Constructive Tension ที่เป็นพลังร่วมในการสร้าง Principled State
วิเคราะห์ The Two Moralities: ถอดรหัสสงครามคุณค่าจากการเมืองอเมริกัน สู่ Deep State ไทย จากมุมมอง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ บูรณาการกับหลักพุทธธรรม
บทนำ
ความขัดแย้งทางการเมืองมักถูกอธิบายผ่านการแข่งขันของพรรคการเมือง นโยบายเศรษฐกิจ หรือการแบ่งขั้วซ้าย–ขวา ทว่า James Davison Hunter (1991) เสนอว่าความขัดแย้งรากฐานในสหรัฐอเมริกาเป็น “สงครามวัฒนธรรม” (Culture Wars) ที่สะท้อนการปะทะกันของ สองระบบคุณค่า (Two Moralities) ได้แก่ Orthodox Morality และ Progressive Morality
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ นำกรอบคิดนี้มาใช้วิเคราะห์การเมืองไทย โดยโยงเข้ากับโครงสร้าง “Deep State แบบไทย ๆ” และเสนอว่าหากประเทศไทยยังคงยึดเสาเข็มคุณค่าแบบอุปถัมภ์–อำนาจนิยม–อภิสิทธิ์ชน สังคมไทยจะติดอยู่ในวงจรความขัดแย้งแบบทำลายล้าง ไม่สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ Principled State ได้
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะสังเคราะห์แนวคิด The Two Moralities กับปรากฏการณ์ Deep State ไทย ผ่านมุมมองของ ดร.สุวิทย์ และเชื่อมโยงกับ หลักพุทธธรรม เพื่อชี้ให้เห็นทางออกเชิงคุณค่าใหม่ที่เหมาะสมต่อสังคมไทย
1. กรอบแนวคิด: Two Moralities และ Culture Wars
Hunter ชี้ว่าความขัดแย้งหลักในสังคมอเมริกันคือการปะทะกันของ สองระบบศีลธรรม
-
Orthodox Morality
-
เชื่อใน “ความจริงสัมบูรณ์” (Absolute Truths)
-
อิงศาสนา จารีต ความศักดิ์สิทธิ์
-
ตัวอย่าง: ต่อต้านการทำแท้ง ปกป้องครอบครัวชาย–หญิง
-
-
Progressive Morality
-
เชื่อว่า “ความจริงเป็นสัมพัทธ์” (Relative Truths)
-
ยึดเหตุผล วิทยาศาสตร์ และสิทธิของปัจเจกบุคคล
-
ตัวอย่าง: สนับสนุนสิทธิการทำแท้ง ผลักดันสมรสเพศเดียวกัน
-
ความขัดแย้งนี้ไม่สามารถหาจุดสมานได้ง่าย เพราะต่างฝ่ายต่างยืนบนฐานคุณค่าที่ไม่อาจประนีประนอมได้
2. จาก Culture Wars สู่ Identity Wars
ในสหรัฐฯ ความขัดแย้งเรื่องสิทธิทำแท้ง LGBTQ+ หรือการศึกษา มิได้เป็นเพียงข้อถกเถียงเชิงนโยบาย แต่กลายเป็น สงครามอัตลักษณ์ (Identity Wars) เกี่ยวกับการนิยามว่า “อะไรคือความเป็นอเมริกันแท้จริง”
Hunter เสนอว่า ทางออกไม่ใช่การให้ฝ่ายหนึ่งชนะ แต่อยู่ที่การสร้าง ระบบการอยู่ร่วมกัน (Coexistence Framework) ที่เปิดพื้นที่ให้ทั้งสองระบบคุณค่าอยู่ร่วมกันภายใต้กติกาที่เป็นธรรม
3. ฉายกรอบ Hunter กับการเมืองไทย: Deep State Mode
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เสนอว่า ความขัดแย้งไทยมีลักษณะใกล้เคียงกับสหรัฐฯ
-
ฝ่ายจารีตนิยม/อนุรักษ์นิยม (Orthodox) → ยึดถือความศักดิ์สิทธิ์ ศาสนา สถาบัน
-
ฝ่ายเสรีนิยม/ก้าวหน้า (Progressive) → ยืนยันสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค
แต่ความต่างคือ ไทยเผชิญ “Deep State แบบไทย ๆ” ที่บิดเบือนความขัดแย้งคุณค่าให้กลายเป็นเกม Zero-Sum ฝ่ายหนึ่งถูกยกให้เป็น “ความจริงสูงสุด” ขณะที่อีกฝ่ายถูกตีตราว่า “เป็นภัยต่อความมั่นคง”
ผลคือ ความขัดแย้งในไทยไม่ถูกแปรเป็น “ความตึงเครียดเชิงสร้างสรรค์” (Constructive Tension) หากแต่เป็นความขัดแย้งแบบทำลายล้าง
4. เสาเข็มทางคุณค่า: ฐานรากของ Deep State
ดร.สุวิทย์ชี้ว่า Deep State อยู่ได้ไม่ใช่เพียงเพราะโครงสร้างอำนาจ แต่เพราะเสาเข็มคุณค่าที่หยั่งรากลึกในสังคม ได้แก่
-
ระบบอุปถัมภ์ (Patron–Client) → เลือก “นาย” แทนที่จะเลือกระบบ
-
อำนาจนิยม (Authoritarianism) → ความสงบถูกยกสูงกว่าความเป็นธรรม
-
อภิสิทธิ์ชน (Elite Privilege) → ความเท่าเทียมไม่หยั่งรากจริง
ตราบใดที่เสาเข็มเหล่านี้ยังไม่ถูกถอน ความพยายามปฏิรูปการเมืองก็จะวนซ้ำ
5. ทางออก: จาก Deep State → Principled State
ดร.สุวิทย์เสนอว่า การปฏิรูปไทยไม่ใช่การกำจัดอีกฝ่าย แต่คือการสร้าง สนามแข่งขันที่เท่าเทียม ภายใต้เสาเข็มคุณค่าใหม่
-
Rule-based Fairness → แทนระบบอุปถัมภ์
-
Responsible Leadership → แทนอำนาจนิยม
-
Equal Dignity → แทนอภิสิทธิ์ชน
การสร้าง Principled State จึงเป็นการยกระดับความขัดแย้งของ Two Moralities ให้กลายเป็นพลังสร้างชาติ
6. บูรณาการกับหลักพุทธธรรม
พุทธศาสนาเสนอกรอบคิดที่ช่วยคลี่คลายสงครามคุณค่าได้ โดยเน้น มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ซึ่งมิใช่การ “เฉลี่ยระหว่างสุดโต่ง” แต่คือการตั้งอยู่บนปัญญาและความจริงแห่งเหตุปัจจัย
-
หลักอริยสัจ 4 → ชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งคือ “ทุกข์” ที่มีเหตุจากตัณหาและอวิชชา การดับทุกข์ต้องอาศัย “ปัญญา” มิใช่การกดทับหรือทำลายอีกฝ่าย
-
พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) → เป็นฐานคุณธรรมในการสร้าง Coexistence Framework ทำให้สองระบบคุณค่าอยู่ร่วมกันได้โดยไม่กลายเป็นศัตรู
-
อิทธิบาท 4 และสังคหวัตถุ 4 → เป็นหลักปฏิบัติของผู้นำเพื่อสร้าง Responsible Leadership ที่สอดคล้องกับ Principled State
ด้วยการบูรณาการพุทธธรรม ความขัดแย้งของ Two Moralities ในไทยสามารถถูกยกระดับจาก “สงครามทำลายล้าง” ไปสู่ “ความตึงเครียดเชิงสร้างสรรค์”
บทสรุป
การวิเคราะห์ The Two Moralities ของ Hunter และการต่อยอดโดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เปิดให้เห็นว่า ความขัดแย้งไทยคือ “สงครามคุณค่า” ที่ถูกซ้อนทับด้วย Deep State และเสาเข็มทางวัฒนธรรม
โจทย์สำคัญจึงไม่ใช่เพียงการรื้อโครงสร้าง แต่คือการปฏิรูป ระบบคุณค่า ให้เปลี่ยนจากอุปถัมภ์–อำนาจนิยม–อภิสิทธิ์ชน สู่ความเป็นธรรม–ความรับผิดชอบ–ศักดิ์ศรีที่เท่าเทียม
เมื่อบูรณาการกับหลักพุทธธรรม ประเทศไทยอาจสร้าง Common Ground และ Common Good ที่ทำให้ความต่างไม่ถูกใช้เป็นอาวุธ หากแต่กลายเป็นพลังในการสร้าง “รัฐที่ตั้งอยู่บนหลักการ” หรือ Principled State ที่ยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น