การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ได้เข้ามามีบทบาทในแทบทุกมิติของสังคม รวมถึงวงการศาสนา โดยเฉพาะในประเด็นการแปลคัมภีร์ทางศาสนา เช่น พระไตรปิฎก ที่มีเนื้อหาลึกซึ้งและซับซ้อน พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย ภาคีราชบัณฑิตยสภา ได้ตั้งข้อสังเกต (30 สิงหาคม 2568) ว่า หากมี “พระไตรปิฎกฉบับเอไอ” ซึ่งมีเนื้อหาต่างไปจากฉบับดั้งเดิม ย่อมสร้างความสั่นคลอนต่อความน่าเชื่อถือของพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง ดังนั้น การวิเคราะห์แนวทางการป้องกันและกำกับดูแล AI จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนคำสอน
1. ความท้าทายของเอไอในการแปลพระไตรปิฎก
ความซับซ้อนของภาษาบาลี – ภาษาบาลีมีโครงสร้าง ไวยากรณ์ และศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับปรัชญาและธรรมะ หาก AI ขาดฐานข้อมูลทางวิชาการที่เพียงพอ อาจทำให้การตีความผิดพลาด
ความแตกต่างระหว่าง “การแปล” และ “การตีความ” – คัมภีร์ทางศาสนามิได้เป็นเพียงข้อความธรรมดา แต่แฝงความหมายเชิงปรัชญาและวินัย การแปลโดย AI อาจกลายเป็นการ “ตีความ” โดยอัตโนมัติและบิดเบือนหลักคำสอน
ความเสี่ยงจากการปรับปรุงเนื้อหา – กรณีสมมุติที่ทองย้อยเสนอ เช่น การเปลี่ยนหลักธรรมว่าภิกษุเสพเมถุนเป็นการบรรลุธรรม หาก AI ถูกใช้โดยไม่มีการตรวจสอบ อาจสร้าง “คัมภีร์ใหม่” ที่บิดเบือนคำสอนเดิมอย่างสิ้นเชิง
2. หลักการกำกับดูแลการใช้เอไอในงานพระไตรปิฎก
การสร้างมาตรฐานการใช้ AI ในงานทางศาสนา – ต้องมีเกณฑ์กำหนดว่าการใช้ AI เพื่อช่วยแปลหรือถอดความ ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของคณะสงฆ์และนักวิชาการบาลี
การตรวจสอบแบบ “มนุษย์กำกับ” (Human-in-the-loop) – ทุกการแปลโดย AI ต้องผ่านการตรวจสอบของพระนักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพระไตรปิฎก เพื่อรับรองความถูกต้อง
การระบุความเป็นต้นฉบับและสำเนา – ต้องประกาศชัดว่า “พระไตรปิฎกฉบับ AI” มิใช่ต้นฉบับ แต่เป็นเพียงเครื่องมือช่วยศึกษา เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่าเป็นพระธรรมคำสอนดั้งเดิม
3. แนวทางป้องกันการบิดเบือนคำสอน
การพัฒนา AI เชิงศีลธรรม – นักพัฒนา AI ต้องทำงานร่วมกับนักปราชญ์และคณะสงฆ์ เพื่อสร้างระบบที่ยึดมั่นในหลักธรรมและไม่สามารถปรับแก้เนื้อหาสำคัญได้
การให้ความรู้สาธารณะ – สังคมต้องตระหนักว่า พระไตรปิฎกฉบับ AI เป็นเพียง “สื่อการเรียนรู้” ไม่ใช่คำสอนที่มีสถานะเสมอพระไตรปิฎกฉบับดั้งเดิม
การจัดตั้งสถาบันกำกับดูแล – คณะสงฆ์ ราชบัณฑิตยสภา และมหาวิทยาลัยควรร่วมกันวางกรอบการใช้ AI กับคัมภีร์ศาสนา และกำหนดมาตรการทางกฎหมายหรือจริยธรรมในการป้องกันการบิดเบือน
4. มิติทางศาสนาและสังคม
การใช้ AI แปลพระไตรปิฎกมิได้เป็นปัญหาด้านเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาทางศาสนาและสังคม หากเกิดการบิดเบือนคำสอน อาจทำให้ความศรัทธาของชาวพุทธถูกสั่นคลอน และนำไปสู่การใช้ศาสนาเพื่อประโยชน์อื่น เช่น การเมืองหรือเศรษฐกิจ จึงจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันรักษาความถูกต้องของพระธรรมคำสอนให้คงอยู่
ดังนั้น เอไอเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถแปลพระไตรปิฎกได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เสี่ยงต่อการสร้าง “พระไตรปิฎกฉบับใหม่” ที่บิดเบือนคำสอนดั้งเดิม ดังที่ พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ การป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ จำเป็นต้องมีมาตรการควบคุม กำกับดูแล และความตระหนักร่วมกันของสังคม เพื่อรักษาความถูกต้องและความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาให้คงอยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น