วิกฤติคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันสะท้อนความเสื่อมศรัทธาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตเงินวัด การใช้จ่ายโดยไม่โปร่งใส และพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ระดับสูง กรณี “อดีตพระอลงกต” เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุที่ถูกดำเนินคดีจากการยักยอกเงินบริจาค ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปโครงสร้างการจัดการวัด
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ในฐานะที่ปรึกษามหาเถรสมาคม ได้เสนอแนวทางเชิงระบบเพื่อแก้ไขวิกฤติศรัทธานี้ โดยเน้นการสร้าง กลไกตรวจสอบเงินวัดอย่างรัดกุม โปร่งใส และมีส่วนร่วม ซึ่งสะท้อนการปรับตัวของคณะสงฆ์ให้สอดรับกับบริบทสังคมสมัยใหม่
1. ปัญหาเชิงโครงสร้างในการจัดการเงินวัด
-
เงินบริจาคที่ไร้ระบบตรวจสอบ – เงินสดจากตู้บริจาค กฐิน ผ้าป่า และกิจกรรมทางศาสนา มักไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางได้ชัดเจน นำไปสู่ความเสี่ยงในการยักยอก
-
การตัดสินใจโดยลำพังของเจ้าอาวาส – พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ให้อำนาจเจ้าอาวาสเป็นผู้แทนนิติบุคคลในการจัดการทรัพย์สินวัด ส่งผลให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจและขาดการถ่วงดุล
-
ช่องว่างระหว่างพระวินัยกับกฎหมาย – แม้การที่พระถือเงินส่วนตัวจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ในทางพระวินัยและสังคมกลับถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสม ทำให้เกิด “โลกติเตียน” ต่อพฤติกรรมพระ
2. แนวทางแก้วิกฤติจากธงทอง จันทรางศุ
2.1 การนำระบบ E-Donation มาจัดการรายรับ
-
ข้อดี: ลดการรั่วไหลจากการบริจาคที่ไม่เข้าบัญชีวัด ข้อมูลถูกบันทึกในระบบและตรวจสอบย้อนหลังได้
-
ข้อจำกัด: ไม่สามารถครอบคลุมเงินสดจากกิจกรรมประเพณีหรือตู้บริจาค ซึ่งยังเป็นช่องโหว่สำคัญ
2.2 การจัดการรายจ่ายโดยใช้หลักธรรมาภิบาล
ธงทองเสนอว่า การใช้เงินของวัดไม่ควรเป็นการตัดสินใจโดยเจ้าอาวาสเพียงผู้เดียว แต่ควรมี กลไกคณะกรรมการร่วม เพื่อเพิ่มความรอบคอบและความโปร่งใส
2.3 การควบคุมรายได้อื่นของวัด
รายได้จากการขายวัตถุมงคล พิธีกรรม หรือการให้เช่าที่ดิน ควรถูกกำกับด้วยระเบียบกฎมหาเถรสมาคมที่มีอยู่แล้ว แต่ต้อง “ปัดฝุ่น” และบังคับใช้อย่างจริงจัง
2.4 บทบาทของพระและชุมชนต่อ “เงินส่วนตัวพระ”
-
พระในโลกปัจจุบันจำเป็นต้องใช้เงิน แต่การถวายเงินให้พระควรอยู่บนพื้นฐานความเหมาะสมและโปร่งใส
-
การควบคุมต้องอาศัยสังคมและพระด้วยกันเอง ผ่านการสอดส่องดูแลโดยเจ้าคณะปกครองและญาติโยม มากกว่าการบังคับด้วยกฎหมายเพียงอย่างเดียว
2.5 การสร้างกลไกใหม่: ไวยาวัจกรทุกวัด
ธงทองเสนอว่า วัดควรมี ไวยาวัจกร เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสในการจัดการด้านการเงิน การติดต่อราชการ และภารกิจทางโลก เพื่อแยกบทบาท “พระ” ออกจากการจัดการทางการเงินโดยตรง และสร้างระบบถ่วงดุล
3. การปรับตัวของระบบคณะสงฆ์: “One size does not fit all”
ธงทองชี้ว่า การปฏิรูประบบการเงินวัดต้องคำนึงถึงความหลากหลายของวัดกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ
-
วัดใหญ่ที่มีรายได้จำนวนมาก ควรมีกลไกการตรวจสอบที่เข้มงวดและเป็นระบบ
-
วัดขนาดเล็กในชนบท ควรมีรูปแบบที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น
แนวคิดนี้สะท้อนความเป็นจริงว่าการปฏิรูปต้องใช้ แนวทางที่แตกต่างตามบริบท (context-based reform) ไม่สามารถใช้กฎแบบเดียวกับทุกวัดได้
4. บทสรุป
แนวคิดของธงทอง จันทรางศุ เสนอกรอบคิดเชิงปฏิบัติที่ชี้ทางออกจากวิกฤติคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน โดยเน้น 3 มิติสำคัญ คือ
-
ระบบ – ใช้ E-Donation และการปัดฝุ่นกฎมหาเถรสมาคมเพื่อสร้างกลไกที่ตรวจสอบได้
-
ธรรมาภิบาล – จัดการรายจ่ายและทรัพย์สินวัดด้วยการมีส่วนร่วม ไม่ใช่การตัดสินใจของเจ้าอาวาสเพียงลำพัง
-
สังคมและวัฒนธรรม – ส่งเสริมการสอดส่องดูแลกันเองทั้งในหมู่พระและชุมชนญาติโยม เพื่อสร้างแรงกดดันเชิงสังคม (โลกติเตียน)
กล่าวได้ว่า แนวทางของธงทองมุ่งสร้าง “ความโปร่งใสและความรับผิดชอบร่วม” ในการจัดการเงินวัด ซึ่งหากสามารถผลักดันได้จริง ย่อมเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูศรัทธาของประชาชนต่อคณะสงฆ์ไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก- สำนักข่าว TODAY
2.jpg)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น