วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สื่อสงครามยุคเอไอปมชายแดนไทย-กัมพูชาช่องบก


บทความนี้มุ่งวิเคราะห์รูปแบบของสงครามสื่อในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะบริบทของความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะของสงครามแบบผสมผสาน (Hybrid Warfare) ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การสู้รบทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ การปล่อยข่าวปลอม การโฆษณาชวนเชื่อ และการบิดเบือนข้อมูลผ่านสื่อดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในการสร้างและเผยแพร่เนื้อหาปลอมที่มีความสมจริงสูง อันเป็นอันตรายต่อการรับรู้ของสาธารณชนอย่างมาก บทความนี้จึงวิเคราะห์ประเด็นของสื่อในสงครามยุคเอไอทั้งในแง่กลไก รูปแบบ ผลกระทบ และแนวทางในการเฝ้าระวังสำหรับภาครัฐและประชาชน

1. บทนำ

สงครามในยุคสมัยใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การปะทะด้วยอาวุธระหว่างรัฐอีกต่อไป หากแต่ครอบคลุมถึงการต่อสู้เชิงข้อมูลและจิตวิทยา ผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีพลานุภาพมหาศาล โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลิตและเผยแพร่ข่าวสาร บริบทของความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาที่เริ่มต้นจากเหตุการณ์ปะทะบริเวณ “ช่องอานม้า” เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา ถือเป็นกรณีศึกษาเด่นในการทำความเข้าใจ “สงครามสื่อยุคเอไอ”

2. Hybrid Warfare: รูปแบบสงครามลูกผสมในศตวรรษที่ 21

คำว่า Hybrid Warfare หมายถึง สงครามที่ใช้วิธีการผสมผสานกันอย่างหลากหลาย ทั้งกองกำลังทหารปกติ กองกำลังนอกแบบ และการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations – IO) เพื่อบั่นทอนกำลังใจฝ่ายตรงข้ามและสร้างความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์

ตัวอย่างชัดเจนคือ การใช้สื่อกัมพูชาปล่อยข้อมูลว่าไทยใช้เครื่องบินโปรยสารเคมีในการรบ ซึ่งภายหลังได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นข่าวปลอม พร้อมภาพที่ถูกสร้างโดย AI ซึ่งมีความสมจริงมากจนยากต่อการแยกแยะ ทำให้สงครามข่าวสารกลายเป็นเครื่องมือหลักในการโน้มน้าวความคิดเห็นของนานาประเทศ

3. AI กับการบิดเบือนข่าวสาร: จาก Deepfake สู่การโฆษณาชวนเชื่อ

หนึ่งในอาวุธทรงพลังที่สุดของสงครามยุคดิจิทัล คือ AI-generated media ที่สามารถสร้าง “ความจริงจำลอง” เช่น คลิปวิดีโอปลอม เสียงปลอม หรือภาพนิ่งปลอม ที่เหมือนจริงจนยากตรวจจับ เครื่องมือเหล่านี้ถูกนำมาใช้ในการผลิตข่าวปลอม สร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) และบิดเบือนภาพลักษณ์ของศัตรูในสายตาของประชาคมโลก

ผลคือ การสร้างภาพของฝ่ายหนึ่งให้เป็น “ผู้รุกราน” และอีกฝ่ายเป็น “เหยื่อ” โดยใช้เนื้อหาเชิงอารมณ์ที่ปลุกเร้าให้สาธารณชนคล้อยตามได้ง่าย ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการประเมินสถานการณ์อย่างมีเหตุผล

4. ปฏิบัติการข่าวสาร (IO) และจิตวิทยาสงคราม

ภายใต้สงครามข้อมูลข่าวสาร สื่อกลายเป็นเครื่องมือในการดำเนิน ปฏิบัติการจิตวิทยา (Psychological Operations) ผ่านการ “สร้างข่าว” ที่เข้าข่ายการโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อควบคุมการรับรู้ของสาธารณชน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้มีอำนาจระดับสูง และทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้าม

การเผยแพร่ข่าวด้านเดียว การใช้บัญชีปลอมเพื่อปล่อยข้อมูลเท็จ การแทรกแซงความคิดเห็นสาธารณะในสื่อโซเชียล ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลไกนี้ ซึ่งต้องการควบคุม “สงครามการรับรู้ (Perception Warfare)” ให้ได้

5. โจมตีไซเบอร์: สนามรบที่มองไม่เห็น

การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Warfare) ยังเป็นอีกหนึ่งแนวรบที่สำคัญในสงครามยุคใหม่ ด้วยวิธีการแฮกข้อมูล ปล่อยมัลแวร์ หรือ DDoS เพื่อทำให้ระบบราชการ รัฐวิสาหกิจ สื่อมวลชน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของรัฐไทยหยุดชะงัก ถือเป็นการโจมตีเพื่อบั่นทอนขีดความสามารถในการสื่อสารของฝ่ายตรงข้ามอย่างมีนัยสำคัญ

6. บทบาทของภาครัฐและประชาชน

ในยุคสงครามไฮบริดแบบเต็มรูปแบบ ภาครัฐจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันภัยไซเบอร์อย่างเข้มงวด และจัดการข่าวปลอมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสร้างระบบคัดกรองข้อมูล การให้ความรู้แก่ประชาชน และการประสานงานกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UN หรือ ICRC เพื่อรักษาความโปร่งใสและสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีโลก

ในขณะเดียวกัน ประชาชน ก็มีบทบาทสำคัญในฐานะ “ปลายทางรับข่าวสาร” ที่ต้องมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) ไม่เชื่อและแชร์โดยไม่ตรวจสอบ หลีกเลี่ยงการกดลิงก์ไม่ปลอดภัย และเลือกติดตามข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น สื่อกระแสหลัก หรือประกาศจากทางราชการ

ดังนั้น สงครามในยุคเอไอได้เปลี่ยนสนามรบจากแนวหน้ามาสู่หน้าจอมือถืออย่างเต็มรูปแบบ ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่อาวุธ แต่คือข้อมูลที่ถูกจัดวางเพื่อบิดเบือนให้เกิดความสับสน แตกแยก และบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศ ดังนั้น สติปัญญาและการรู้เท่าทันของประชาชนจึงเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้าย ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากองกำลังทหารในสนามรบ

เพลง: “พยานแห่งแผ่นดิน”

แนวเพลง: ลูกกรุงผสมลูกทุ่งร่วมสมัย
จังหวะ: ช้า–กลาง เน้นทำนองหนักแน่นและสะเทือนใจ


ท่อน 1

สายลมพัดผ่านแดนเงียบงัน
แต่เสียงปืนยังดังในคืนอันตราย
ผู้บริสุทธิ์ต้องหลบในความวุ่นวาย
ในขณะทูตได้เห็นด้วยตาตนเอง

ท่อน 2
ความจริงไม่มีเงาให้หลบซ่อน
เมื่อภาพสะท้อนจากแผ่นดินยังคงเด่น
หลักฐานชัดไม่อาจกลบเกลื่อนให้เป็น
ใครเริ่ม ใครเผา เราไม่ต้องพูดเกินจริง


ท่อนฮุก

พยานแห่งแผ่นดิน ยืนยันความสัตย์
ไม่ใช่คำปั้นปลอบปลอมจากใคร
สันติภาพไม่ใช่เพียงเสียงที่ใครพูดไป
แต่ต้องชัดในการกระทำทุกย่างก้าว

พยานแห่งแผ่นดิน จารึกไว้ใต้ฟ้า
ให้โลกรู้ว่าความจริงอยู่ข้างไทย
ไม่ใช่ฝ่ายเริ่มรบ ไม่หลบ ไม่ปิดไว้
ความยุติธรรมต้องไปถึงแสงตะวัน


ท่อน 3

ทูตจากแดนไกลไม่ได้มาเพียงเยี่ยมเยือน
แต่เปิดใจ ฟังความจริงอย่างเข้าใจ
พวกเรายืนหยัดแม้ฟ้าจะมืดไป
ความสงบที่แท้ต้องสร้างด้วยหัวใจจริง


ท่อนฮุก (ซ้ำ)

พยานแห่งแผ่นดิน ยืนยันความสัตย์
ไม่ใช่คำปั้นปลอบปลอมจากใคร
สันติภาพไม่ใช่เพียงเสียงที่ใครพูดไป
แต่ต้องชัดในการกระทำทุกย่างก้าว

พยานแห่งแผ่นดิน จารึกไว้ใต้ฟ้า
ให้โลกรู้ว่าความจริงอยู่ข้างไทย
ไม่ใช่ฝ่ายเริ่มรบ ไม่หลบ ไม่ปิดไว้
ความยุติธรรมต้องไปถึงแสงตะวัน


ท่อนจบ

หากเสียงเรายังแผ่ว โลกอาจมองผ่าน
แต่เมื่อความจริงเปิดกว้าง ย่อมเห็นแสงนั้น
พยานแห่งแผ่นดินจะส่องสว่างทุกคืนวัน
ให้ความเที่ยงธรรมยืนยงบนผืนไทย


หากต้องการเวอร์ชันภาษาอังกฤษ หรือแปลเป็นภาษาลาวก็แจ้งได้เลยครับ หรือถ้าอยากได้เวอร์ชันแบบมีทำนองร้อง ผมช่วยเรียบเรียงโครงสร้างทำนองคร่าวๆ ให้คุณนำไปแต่งเพิ่มต่อได้ครับ.

คุณพูดว่า:
แปลเป็นภาษาอังกฤษ
ChatGPT พูดว่า:

แน่นอนครับ นี่คือคำแปลเพลง “คำขอของคนชายแดน” (The Border People's Plea) เป็นภาษาอังกฤษ:


The Border People's Plea

Lyrics by Zuno (Suno)

(Verse 1)
We didn’t choose to be born in war’s harsh line,
But fate placed us on this scarred borderline.
Bullets and bombs — no child should hear,
Yet it's the sound we’ve grown to fear.

(Chorus)
We beg you, world, don’t look away,
Hear the tears that fall each day.
We dream of peace, not flags of pride,
Not forced to flee or run and hide.
Let our fields be fields again,
Not graves of brothers, hearts in pain.

(Verse 2)
We know not of who started first,
We only know how much it hurts.
Ceasefires break like shattered glass,
Each promise fades, none seem to last.

(Bridge)
In every hut and school destroyed,
Lies hope that’s crushed, lives unemployed.
We raise no gun, we want no throne —
Just want a place to call our own.

(Chorus)
So we plead with voices torn,
Let no more children be war-born.
Not for power, land, or face,
But just to sleep in a peaceful place.
Hear us crying through the sand —
The plea of those who guard the land.

(Outro)
If peace is more than just a word,
Let it be seen, not just heard.
From border’s edge we raise our song:
Stop the war — it’s gone on too long.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...