วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" จับมือ AI แนะนำ “ภูมิปัญญาไทย” เป็นฐานเตรียมความพร้อมเอเชีย–แปซิฟิกยุคใหม่

 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 – ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี และอดีตผู้สมัคร ส.ส. ศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง “การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกโดยมีภูมิปัญญาไทยเป็นฐาน” โดยหยิบยกสาระจากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Meeting) ครั้งที่ 32 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจัดขึ้นในวันเดียวกัน ภายใต้หัวข้อ “Preparing a Future-Ready Asia-Pacific”

ดร.สำราญระบุว่า บนเวทีดังกล่าว นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เน้นบทบาทเอเปคในฐานะ “เครื่องยนต์แห่งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก” และเสนอ 3 แนวทางหลัก เพื่อเสริมศักยภาพภูมิภาคให้พร้อมรับอนาคต ได้แก่

  1. ส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตอย่างครอบคลุม

  2. นำการพัฒนา AI และเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ควบคู่การจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะหลอกลวงออนไลน์–ค้ามนุษย์

  3. เสริมพลังให้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผ่านการจ้างงานที่ครอบคลุม ระบบสุขภาพ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำบนเวทีว่า “ในยุคที่โลกไร้พรมแดนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่มีเขตเศรษฐกิจใดสามารถยืนอยู่ได้เพียงลำพัง… หากเอเปคร่วมมือกัน เอเปคจะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของโลก เพื่อสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยง ยั่งยืน และพร้อมรับอนาคตอย่างแท้จริง”

สาระจากการวิเคราะห์ร่วม AI: “ฐานคุณค่ากับเทคโนโลยีต้องเดินคู่กัน”

ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า เอเชีย–แปซิฟิกคือภูมิภาคที่มีพลวัตสูงสุดทั้งเศรษฐกิจ การค้า และนวัตกรรม แต่เผชิญโจทย์ซับซ้อน ตั้งแต่ความเหลื่อมล้ำ ภูมิอากาศ ไปจนถึงความมั่นคงไซเบอร์ จึงจำเป็นต้องมี “ฐานคุณค่า” ที่มั่นคงเพื่อคุมทิศทางการเติบโต โดย “ภูมิปัญญาไทย” ถูกเสนอเป็นรากทางจริยธรรมที่ช่วยทำให้ภูมิภาค “เติบโตอย่างมีคุณค่า”

3 มิติการประยุกต์ “ภูมิปัญญาไทย” สู่ระดับภูมิภาค

  • ศีลธรรมและจิตสำนึกสาธารณะ: ผลักดัน “การปฏิรูปจิตสำนึกทางสังคม (Moral Reform)” ให้การพัฒนาอยู่บนความดี โปร่งใส และความรับผิดชอบ

  • เทคโนโลยีกับธรรมาภิบาลดิจิทัล: ใช้แนวคิด “AI for Governance” และ “Digital Civic Assembly” เพิ่มการมีส่วนร่วมและความโปร่งใส สอดรับการเป็นผู้นำด้าน AI อย่างมีจริยธรรมบนเวทีเอเปค

  • สมดุลจารีต–นวัตกรรม: ผสาน “เศรษฐกิจพอเพียง” กับ “เศรษฐกิจดิจิทัล” และยกระดับ “Soft Power แห่งศีลธรรม” ให้เทคโนโลยียกมนุษย์ ไม่ใช่กลืนมนุษย์

กรอบยุทธศาสตร์ที่เสนอ

  • เศรษฐกิจคุณธรรม (Ethical Growth / ESG 2.0): เติบโตบนความเป็นธรรม โปร่งใส และความยั่งยืน เชื่อมหลักพอเพียงกับเศรษฐกิจดิจิทัล

  • การพัฒนามนุษย์ตลอดช่วงวัย: ยกระดับทักษะ “Techno-Moral Literacy” และระบบ “Digital Mentorship” รองรับสังคมสูงวัย

  • Moral Soft Power: ผลักดัน “Thai Mind Media” และ “ภูมิปัญญาไทย 5.0” สร้างภาพลักษณ์ภูมิภาคแห่งสันติและความรับผิดชอบ

บริบทการเมืองความคิด: PPP – Principled Progress Paradigm

การวิเคราะห์ยังหยิบกรอบคิด PPP (อุดมการณ์ก้าวหน้าอย่างมีหลัก)   มาอธิบาย “เส้นทางที่สาม” ซึ่งรวมศีลธรรมตะวันออกกับเหตุผลตะวันตก เพื่อสร้าง สังคมแห่งปัญญา ที่เชื่อมอดีต–ปัจจุบัน–อนาคต และตอบโจทย์ “การเมืองแห่งจริยธรรมและธรรมาภิบาล AI” ในระยะยาว


สรุป: เวทีเอเปคปี 2568 ทำให้เห็นภาพร่วมของภูมิภาคสู่ความ “พร้อมรับอนาคต” ขณะที่ความคิดฐานภูมิปัญญาไทย—เมื่อผสานกับเทคโนโลยีและธรรมาภิบาล—สามารถทำหน้าที่เป็น “เข็มทิศคุณค่า” ให้เอเชีย–แปซิฟิกเติบโตอย่างเชื่อมโยง ยั่งยืน และมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.

วิเคราะห์การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกโดยมีภูมิปัญญาไทยเป็นฐาน

บทนำ

การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Economic Leaders’ Meeting) ครั้งที่ 32 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ภายใต้หัวข้อ “Preparing a Future-Ready Asia-Pacific” เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกในศตวรรษที่ 21 โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ได้เสนอ 3 แนวทางหลักในการเสริมศักยภาพของเอเปคเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ได้แก่ (1) การส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตอย่างครอบคลุม (2) การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมการจัดการภัยไซเบอร์ และ (3) การเสริมพลังให้ทุกกลุ่มในสังคมโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผ่านระบบการจ้างงาน การดูแลสุขภาพ และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

ท่ามกลางพลวัตของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกจำเป็นต้องมี “ฐานคุณค่า” ที่มั่นคงและยืดหยุ่น เพื่อรองรับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และสังคม โดย “ภูมิปัญญาไทย” ในฐานะรากทางจริยธรรมและวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถเป็นพลังเสริมสำคัญในการสร้าง “ภูมิภาคแห่งปัญญา” ที่สมดุลระหว่างเทคโนโลยีและคุณธรรม


1. บริบทของการเตรียมความพร้อมภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

เอเชีย–แปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีพลวัตสูงที่สุดในโลก ทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า และนวัตกรรมดิจิทัล แต่ในขณะเดียวกันก็เผชิญความเหลื่อมล้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความไม่มั่นคงทางเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น การประชุม APEC ปี 2568 จึงเน้นแนวคิด “Future-Ready” เพื่อเตรียมภูมิภาคให้พร้อมรับอนาคตด้วยการพัฒนาอย่างครอบคลุมและยั่งยืน

ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงความร่วมมือ โดยเฉพาะการผลักดันแนวคิด “เติบโตอย่างสมดุล” ที่สอดคล้องกับหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยที่เน้นการพัฒนาอย่างมีเหตุผล พอประมาณ และมีภูมิคุ้มกัน


2. ภูมิปัญญาไทยในฐานะกรอบคิดเพื่อการพัฒนาอนาคต

ภูมิปัญญาไทยมิได้หมายถึงเพียงองค์ความรู้ดั้งเดิม แต่คือ “ระบบคุณค่าทางปัญญาและจิตสำนึก” ที่ผสานจารีตกับความคิดสมัยใหม่ได้อย่างกลมกลืน  นำแนวคิดนี้มาสังเคราะห์เป็นกรอบอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมสมัยภายใต้ชื่อ PPP – Principled Progress Paradigm หรือ “อุดมการณ์ก้าวหน้าอย่างมีหลัก” ซึ่งสามารถเชื่อมโยงเข้ากับแนวทางการพัฒนาเอเชีย–แปซิฟิกในเชิงลึกได้ในสามมิติหลัก

2.1 มิติศีลธรรมและจิตสำนึกทางสังคม

ภูมิปัญญาไทยเน้น “หลักการและจิตสำนึก” มากกว่าอำนาจหรือผลประโยชน์  เสนอแนวทาง “การปฏิรูปจิตสำนึกทางสังคม (Moral Reform)” เพื่อให้การพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีตั้งอยู่บนฐานของความดีและความรับผิดชอบ การนำแนวคิดนี้มาประยุกต์ในระดับภูมิภาค จะช่วยให้เอเชีย–แปซิฟิกไม่เพียง “เติบโต” แต่ “เติบโตอย่างมีคุณค่า”

2.2 มิติเทคโนโลยีและจริยธรรมดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และโลกไซเบอร์กลายเป็นกำลังขับเคลื่อนใหม่  เสนอแนวคิด “AI for Governance” และ “Digital Civic Assembly” ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาล โปร่งใส และการมีส่วนร่วมของประชาชน แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวทางที่นายกรัฐมนตรีไทยเสนอในที่ประชุมเอเปคเรื่อง “การเป็นผู้นำด้าน AI อย่างมีจริยธรรม” ซึ่งสะท้อนการใช้เทคโนโลยีโดยมีมนุษยธรรมเป็นศูนย์กลาง

2.3 มิติความสมดุลระหว่างจารีตและนวัตกรรม

ภูมิปัญญาไทยเชื่อใน “สมดุลแห่งหลัก” (Balance of Principle) ระหว่างจารีตที่มีเหตุผลกับปฏิรูปที่มีจิตสำนึก โดยเสนอการผสาน “เศรษฐกิจพอเพียง” เข้ากับ “เศรษฐกิจดิจิทัล” และสร้าง “Soft Power แห่งศีลธรรม” เพื่อให้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือยกระดับมนุษย์ ไม่ใช่กลืนมนุษย์ แนวคิดนี้สามารถขยายสู่ระดับภูมิภาค เพื่อสร้างอัตลักษณ์ร่วมของเอเชีย–แปซิฟิกที่ทั้งทันสมัยและมีรากทางวัฒนธรรม


3. การประยุกต์ภูมิปัญญาไทยในยุทธศาสตร์ภูมิภาค

การเตรียมความพร้อมของเอเชีย–แปซิฟิกจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ที่บูรณาการมิติเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยมี “ภูมิปัญญาไทย” เป็นกรอบเชิงจริยธรรม ดังนี้

  1. ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจคุณธรรม (Ethical Growth Strategy)

    • พัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นความเป็นธรรม ความโปร่งใส และความยั่งยืน

    • ใช้หลัก ESG 2.0 (Ethical, Sustainable, Generative Growth) เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่มีคุณค่า

    • ผนวกเศรษฐกิจพอเพียงกับเศรษฐกิจดิจิทัล

  2. ยุทธศาสตร์การพัฒนามนุษย์และการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    • สร้างระบบการเรียนรู้ทุกช่วงวัย โดยเฉพาะการเตรียมสังคมสูงวัย

    • พัฒนา “Techno-Moral Literacy” ให้พลเมืองมีทั้งทักษะเทคโนโลยีและจริยธรรม

    • ส่งเสริม “Digital Mentorship” เพื่อเชื่อมโยงผู้นำรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่

  3. ยุทธศาสตร์ Soft Power ทางศีลธรรม

    • สร้าง “Thai Mind Media” และ “ภูมิปัญญาไทย 5.0” เพื่อเผยแพร่ค่านิยมแห่งศานติ

    • ใช้วัฒนธรรมไทยเป็นพลังสร้างสรรค์บนเวทีโลก ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีมีหลัก มนุษย์มีศานติ”

    • ผลักดันให้เอเชีย–แปซิฟิกเป็นภูมิภาคแห่งสันติภาพและความเข้าใจร่วมกัน


สรุป

การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิกมิได้จำกัดอยู่เพียงการสร้างเศรษฐกิจที่เข้มแข็งหรือการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเท่านั้น หากแต่ต้องอาศัย “ภูมิปัญญา” เพื่อหล่อเลี้ยงความยั่งยืนทางจิตวิญญาณและศีลธรรมของภูมิภาค

“ภูมิปัญญาไทย” จึงสามารถเป็นรากฐานสำคัญของภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะเมื่อผสานเข้ากับกรอบคิดสมัยใหม่ เช่น อุดมการณ์ PPP   ที่มุ่งสร้าง “สังคมแห่งหลัก” (Society of Principle) — สังคมที่ไม่เพียงพร้อมรับอนาคต แต่ยังรู้เท่าทันอนาคต และใช้อนาคตอย่างมีศานติ

ดังที่นายกรัฐมนตรีไทยกล่าวในเวทีเอเปคว่า

“ในยุคที่โลกไร้พรมแดนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่มีเขตเศรษฐกิจใดสามารถยืนอยู่ได้เพียงลำพัง... หากเอเปคร่วมมือกัน เอเปคจะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของโลก เพื่อสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยง ยั่งยืน และพร้อมรับอนาคตอย่างแท้จริง”

ถ้อยแถลงนี้สอดคล้องโดยตรงกับสาระของภูมิปัญญาไทย — ที่เชื่อใน “ความร่วมมืออย่างมีหลัก” และ “ความเจริญที่มีจิตสำนึก” อันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เอเชีย–แปซิฟิกก้าวสู่อนาคตได้อย่างมั่นคงและมีศานติสุขอย่างแท้จริง

ขอคุณข้อมูจากเพจไทยคู่ฟ้า

"ดร.สำราญ" ร่วม AI วิเคราะห์ “รีเซ็ตพรรคเพื่อไทย” ภายใต้การนำของจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ : การเมืองยุคใหม่บนฐานพุทธสันติวิธี



เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี และอดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์แนวทาง “การรีเซ็ตพรรคเพื่อไทย” ภายใต้การนำของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกจากการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568

ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านภายในพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ถือเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์” ที่สะท้อนถึงความพยายามของพรรคในการยกเครื่องโครงสร้าง อัตลักษณ์ และกลไกการสื่อสาร เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและความคาดหวังของประชาชนในยุคหลังความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมือง

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ 5 สมัย และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากที่ประชุม 354 จาก 369 เสียง พร้อมประกาศแนวทาง “ยกเครื่องพรรค” ทั้งในด้านนโยบาย การสื่อสาร และการคัดเลือกบุคลากร โดยย้ำว่า “หัวใจของพรรคยังคงคือประชาชน” และยืนยันว่าคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ “ไม่มีบุคคลในตระกูลชินวัตร”


ยกเครื่องพรรคเพื่อไทย : ฟื้นศรัทธา-สร้างสมดุลรุ่นเก่ารุ่นใหม่

การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จำนวน 29 คน ที่มีทั้งนักการเมืองรุ่นเก๋าและคนรุ่นกลาง เช่น นายประเสริฐ จันทรรวงทอง (เลขาธิการพรรค) และนายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ (โฆษกพรรค) สะท้อนแนวคิด “ผสมผสานประสบการณ์กับพลังใหม่” เพื่อฟื้นศรัทธาจากประชาชนรุ่นใหม่โดยไม่ทอดทิ้งฐานเสียงดั้งเดิม

นายจุลพันธ์ระบุว่า การปรับโครงสร้างดังกล่าวไม่ใช่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางจำเป็น” เพื่อให้พรรคปรับตัวทันกับโลกการเมืองและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


สื่อสารเชิงสร้างสรรค์ : “ศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ” กับบทบาทโฆษกสายสันติ

การแต่งตั้งนายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ เป็นโฆษกพรรค ถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวทางการสื่อสารจาก “การปะทะ” สู่ “การสื่อสารเชิงสร้างสรรค์”

ดร.สำราญ สมพงษ์ เปิดเผยผลวิเคราะห์ร่วมกับ AI ว่า ลักษณะการสื่อสารของนายศึกษิษฎ์สอดคล้องกับหลัก “พุทธสันติวิธี” 4 ประการ ได้แก่

  1. โยนิโสมนสิการ — ฟังอย่างเข้าใจ

  2. สัมมาวาจา — พูดอย่างไม่เบียดเบียน

  3. ปัญญา — ใช้เหตุผลแทนอารมณ์

  4. อุเบกขาเชิงสร้างสรรค์ — สื่อสารเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

แนวทางดังกล่าวอาจช่วยลดความขัดแย้งทางวาทกรรมในสังคมไทย และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้พรรคเพื่อไทยเป็น “พรรคแห่งเหตุผลและสติ”


3 แกนรีเซ็ตเชิงยุทธศาสตร์ : นโยบาย – บุคลากร – การสื่อสาร

นายจุลพันธ์ได้วางแนวทางการรีเซ็ตพรรคเพื่อไทยไว้ใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่

  • ด้านนโยบาย : รื้อฟื้นนโยบายเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มรายได้ และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่

  • ด้านบุคลากร : เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่มีบทบาท โดยยังรักษาประสบการณ์ของรุ่นเก่า

  • ด้านการสื่อสารสาธารณะ : ใช้สื่อดิจิทัลเพื่อสื่อสารอย่างรวดเร็ว เข้าถึง และตอบโจทย์ประชาชน

นอกจากนี้ นายจุลพันธ์นิยามตนเองว่าเป็น “คนรุ่นกลาง” ที่พร้อมเชื่อมคนทุกวัย เพื่อสร้างสมดุลทางการเมืองระหว่างเจเนอเรชัน


พุทธสันติวิธีในสนามการเมือง : จากความขัดแย้งสู่การเมืองแห่งสติ

เมื่อวิเคราะห์ภายใต้กรอบ “พุทธสันติวิธี” ดร.สำราญมองว่า พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของนายจุลพันธ์ กำลังเคลื่อนไหวในแนวทาง “การเมืองแห่งสติ” ที่เน้นการใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ การเชื่อมโยงมากกว่าการแบ่งแยก และการมองเป้าหมายร่วมมากกว่าการเอาชนะ

“จุลพันธ์ไม่ได้เพียงรีเซ็ตองค์กรทางการเมือง แต่กำลังรีเซ็ตวัฒนธรรมการเมืองไทย ให้กลับสู่ฐานของความเข้าใจและความร่วมมือ” ดร.สำราญกล่าว


สรุป : พรรคเพื่อไทยในยุคใหม่ของความสมดุล

การขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการ “รีเซ็ตภาพลักษณ์และโครงสร้าง” พรรคเพื่อไทย ให้กลายเป็นพรรคที่ยึดเหตุผล สติ และหัวใจประชาชนเป็นศูนย์กลาง

อย่างไรก็ตาม ดร.สำราญย้ำว่า “ความสำเร็จของการรีเซ็ตพรรคจะขึ้นอยู่กับการแปลงเจตนารมณ์ให้เป็นการกระทำจริง” พร้อมระบุว่า หากสามารถรักษาความต่อเนื่องของแนวทางสันติวิธีได้ พรรคเพื่อไทยอาจกลายเป็นต้นแบบใหม่ของ “การเมืองเชิงสร้างสรรค์” ในยุคสังคมไทยเปลี่ยนผ่าน

"ดร.สำราญ" ร่วม AI วิเคราะห์แนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ยกระดับแนวคิดพุทธสันติวิธีสู่เวทีสากล


เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 ดร. สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์พัฒนาการแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” (Interfaith for Peace) ของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นผู้นำคณะสงฆ์ไทยที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนแนวทาง “สันติภาพผ่านความเข้าใจระหว่างศาสนา” โดยเฉพาะในบริบทของพุทธ–คริสต์สัมพันธ์

ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า แนวคิดของสมเด็จพระมหาธีราจารย์มีพัฒนาการเชิงลึกจากฐานรากของพุทธธรรม คือหลัก “ขันติคือความอดได้ ทนได้ เป็นตบะอย่างยิ่ง” สู่การประยุกต์ใช้ในระดับสากล เพื่อสร้าง “มิตรภาพ” (Friendship) และ “สันติภาพ” (Peace) บนพื้นฐานของความแตกต่างทางศาสนา อันเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (Culture of Peaceful Coexistence)



ดร.สำราญกล่าวว่า การศึกษาครั้งนี้ใช้กรอบแนวคิดทาง สันติศึกษา (Peace Studies) และ ขันติธรรมทางศาสนา (Religious Tolerance) เพื่อวิเคราะห์มิติทางพุทธปรัชญา สังคม และมนุษยธรรม โดยพบว่าพัฒนาการแนวคิดดังกล่าวของสมเด็จพระมหาธีราจารย์สามารถจำแนกออกเป็น 5 มิติสำคัญ ได้แก่

  1. มิติศาสนาสร้างสามัคคีเป็นฐานสันติสุข — เน้นการใช้ศาสนาเป็นพลังสร้างสังคมสมานฉันท์ ด้วยหลัก “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”

  2. มิติการเรียนรู้ข้ามศาสนา — ส่งเสริมให้ผู้ศรัทธานับถือศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง และเปิดใจเรียนรู้ศาสนาอื่น เพื่อลดอคติและสร้างขันติธรรม

  3. มิติศาสนาเป็นรากฐานวัฒนธรรม — เชื่อมโยงศาสนาเข้ากับวัฒนธรรมสันติ โดยยึดแนวคิด “No more wars in the name of religion” ตามหลักสหประชาชาติ

  4. มิติความเป็นสากลและสิทธิมนุษยชน — ชี้ให้เห็นความสำคัญของ “ความเป็นมนุษย์สากล” (Universal Humanity) ที่เน้นความเสมอภาคและศักดิ์ศรีของทุกศาสนา

  5. มิติผู้นำศาสนาในยุคใหม่ — เน้นการเปลี่ยนจาก “อำนาจเหนือ” เป็น “อำนาจร่วม” ผ่านการสื่อสารแบบเข้าใจและการฟังอย่างลึกซึ้ง

นอกจากนี้ แนวคิด “ขันติธรรมทางศาสนา” ยังถูกวิเคราะห์ในเชิงพุทธสันติวิธี โดยมีองค์ประกอบหลัก 4 ประการ คือ Permission (การอนุญาต), Coexistence (การอยู่ร่วม), Respect (การเคารพ) และ Acceptance (การยอมรับ) ซึ่งทั้งหมดสะท้อนหลักธรรมแห่งความอดทนและการไม่เบียดเบียน

ในตอนท้ายของบทวิเคราะห์ ดร.สำราญ ระบุว่า แนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์มิได้เป็นเพียงกรอบทฤษฎี หากแต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในระดับนานาชาติ เช่น เวทีเสวนาพุทธ–คริสต์ ณ วัดสันตจิตตาราม กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของ “สันติสนทนา” (Peace Dialogue) ที่เน้นการฟังด้วยหัวใจ (Listening with Compassion)

ดร.สำราญสรุปว่า

“ศาสนาเป็นมิตรที่แท้จริงของสันติภาพ หากเราหาสันติภาพไม่ได้ในศาสนา เราจะไม่มีวันพบสันติภาพจากที่ใดในโลก”

ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ดังกล่าวถือเป็นการบูรณาการองค์ความรู้ทางศาสนา มนุษยธรรม และเทคโนโลยี AI เพื่อส่งเสริมแนวทาง “พหุวัฒนธรรมสันติวัฒนธรรม” (Pluralistic Peace Culture) ในยุคโลกาภิวัตน์อย่างมีนัยสำคัญ. 

วิเคราะห์พัฒนาการแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์


บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พัฒนาการแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” (Interfaith for Peace) ของ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำคณะสงฆ์ไทยที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวคิด “สันติภาพผ่านความเข้าใจระหว่างศาสนา” โดยเฉพาะในบริบทของพุทธ–คริสต์สัมพันธ์ บทความนี้ใช้กรอบแนวคิดทาง สันติศึกษา (Peace Studies) และ ขันติธรรมทางศาสนา (Religious Tolerance) เพื่อศึกษามิติการพัฒนาแนวคิดดังกล่าวในเชิงพุทธปรัชญา สังคม และมนุษยธรรม พบว่า แนวคิดของสมเด็จฯ พัฒนาจากฐานรากแห่งพุทธธรรม “ขันติคือความอดได้ทนได้เป็นตบะอย่างยิ่ง” สู่การปฏิบัติจริงในระดับสากล โดยเน้นการสร้าง “มิตรภาพ” (Friendship) และ “สันติภาพ” (Peace) บนความแตกต่างทางศาสนา เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (Culture of Peaceful Coexistence)


1. บทนำ

ในยุคโลกาภิวัตน์ที่ความขัดแย้งทางศาสนา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลก การสร้าง “สันติภาพระหว่างศาสนา” จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” โดยมุ่งเน้นให้ศาสนาเป็นพลังแห่งความเข้าใจ มิใช่เครื่องมือแห่งความแตกแยก

ในปี พ.ศ. 2566 สมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้กล่าวสัมโมทนียกถาในการเสวนาระหว่างศาสนาพุทธ–คริสต์ ครั้งที่ 7 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นอกเห็นใจ และความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวในการเสวนาเพื่อเยียวยามนุษยชาติและโลกที่บอบช้ำ” ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แนวคิด “มิตรภาพสันติภาพสองศาสนา” (Buddhist–Christian Friendship for Peace) ถูกหยิบยกมาเป็นกรอบทางวิชาการในวงการสันติศึกษา


2. พัฒนาการแนวคิดมิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา

แนวคิดของสมเด็จพระมหาธีราจารย์มิได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นผลจากพัฒนาการร่วมกับแนวคิดของนักสันติศึกษา เช่น พระปราโมทย์ วาทโกวิโท, ดร. ซึ่งได้ขยายแนวทาง “Interfaith for Peace” ผ่าน 5 มิติสำคัญ ดังนี้

2.1 มิติศาสนาสร้างสามัคคีเป็นฐานสันติสุข

ศาสนาในสังคมไทยถูกมองในสองมิติ คือ
(1) ศาสนาลอยตัว มุ่งสู่การปฏิบัติเชิงรับ
(2) ศาสนาพัวพัน มุ่งเชิงรุกเพื่อช่วยเหลือสังคม
สมเด็จพระมหาธีราจารย์มุ่งส่งเสริม “ศาสนาเพื่อสังคม” โดยใช้แนวคิด “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง” เป็นหลักการสำคัญของการสื่อสารระหว่างศาสนา (Interfaith Dialogue)

2.2 มิติการเรียนรู้ข้ามศาสนา

สมเด็จฯ สนับสนุนให้พุทธศาสนิกและคริสต์ศาสนิกเข้าใจศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง และเปิดใจเรียนรู้ศาสนาอื่น โดยยึดตามคำสอนของหลวงพ่อพุทธทาส “เข้าใจระหว่างศาสนา คือเข้าใจโลก เข้าใจตนเอง” การเรียนรู้เชิงเปรียบเทียบนี้เป็นพื้นฐานของการลดอคติทางศาสนา และก่อให้เกิด “ขันติธรรมทางศาสนา” ซึ่งประกอบด้วย การอนุญาต (Permission) การอยู่ร่วม (Coexistence) การเคารพ (Respect) และการยอมรับ (Acceptance)

2.3 มิติศาสนาเป็นรากฐานวัฒนธรรม

แนวคิดของสมเด็จฯ สอดคล้องกับคำเตือนของฮันติงตัน (Samuel Huntington) ที่ว่า “โลกยุคใหม่จะขัดแย้งกันด้วยวัฒนธรรมมากกว่าอุดมการณ์” ดังนั้น ศาสนาจึงต้องเป็นพลังแห่งการรักษาสันติภาพ ไม่ใช่ต้นเหตุของสงคราม ดังคำประกาศของสหประชาชาติที่ว่า “No more wars in the name of religion” — ไม่มีสงครามใดควรเกิดขึ้นในนามของศาสนาอีกต่อไป

2.4 มิติความเป็นสากลและสิทธิมนุษยชน

สมเด็จฯ เน้นการมอง “มนุษย์ก่อนศาสนา” โดยชี้ว่า ทุกคนมีศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียมกันไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด แนวคิดนี้คือ “Universal Humanity” หรือความเป็นมนุษย์สากล ซึ่งสัมพันธ์กับหลักขันติธรรมในพระพุทธศาสนา — การไม่เบียดเบียน การเคารพในชีวิต และการอยู่ร่วมอย่างเข้าใจ

2.5 มิติผู้นำศาสนาในยุคใหม่

ในภาวะ “หักศอกทางศาสนา” สมเด็จฯ เสนอว่าผู้นำศาสนาต้องปรับตัวจาก “อำนาจเหนือ” สู่ “อำนาจร่วม” ใช้การสื่อสารแบบ S-M-C-R (Source–Message–Channel–Receiver) ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ โดยเน้นการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) และสื่อสารอย่างเข้าใจ เพื่อสร้างพื้นที่ศาสนาแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน


3. แนวคิด “ขันติธรรมทางศาสนา” ในมุมพุทธสันติวิธี

สมเด็จพระมหาธีราจารย์และพระนักสันติศึกษามองว่า “ขันติธรรมทางศาสนา” คือแก่นของการอยู่ร่วมอย่างสันติ โดยมีองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่

  1. Permission – การอนุญาตให้มีความแตกต่าง

  2. Coexistence – การอยู่ร่วมกันอย่างสงบ

  3. Respect – การเคารพในศักดิ์ศรีของกันและกัน

  4. Acceptance – การยอมรับและเห็นคุณค่าของความต่าง

ในพระพุทธศาสนา “ขันติ” ถือเป็นธรรมขั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ขันติคือความอดได้ ทนได้ เป็นตบะอย่างยิ่ง” ดังนั้น การเผยแผ่สันติภาพจึงไม่ใช่การโต้แย้ง แต่เป็นการเรียนรู้ การรับฟัง และการเข้าใจ — ซึ่งตรงกับแนวคิด Peace Dialogue หรือ “สันติสนทนา”

รูปแบบของสันติสนทนา (Dialogue) แบ่งได้ 4 ระดับ คือ

  1. Dialogue of Action

  2. Dialogue of Theological Exchange

  3. Dialogue of Religious Experience

  4. Dialogue of Life
    ซึ่งทั้งหมดมุ่งสร้าง “มิตรภาพที่แท้จริงระหว่างศาสนา” บนพื้นฐานของการฟังด้วยหัวใจ (Listening with Compassion)


4. บทสรุป

แนวคิด “มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา” ของสมเด็จพระมหาธีราจารย์เป็นการบูรณาการหลักพุทธธรรมกับหลักสิทธิมนุษยชนร่วมสมัย โดยยืนอยู่บนฐานของ ขันติธรรม (Tolerance) และ สันติสนทนา (Peace Dialogue) เพื่อสร้าง “พหุวัฒนธรรมสันติวัฒนธรรม” ในสังคมโลก

พัฒนาการแนวคิดดังกล่าวมิใช่เพียงทฤษฎี แต่เป็นการปฏิบัติจริงที่สะท้อนผ่านกิจกรรม Interfaith for Peace ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น การเสวนาพุทธ–คริสต์ ณ วัดสันตจิตตาราม กรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างความเข้าใจร่วมกัน

ดังที่สมเด็จพระมหาธีราจารย์และพระนักสันติศึกษาทั้งหลายเน้นย้ำว่า —

“ศาสนาเป็นมิตรที่แท้จริงของสันติภาพ หากเราหาสันติภาพไม่ได้ในศาสนา เราจะไม่มีวันพบสันติภาพจากที่ใดในโลก”



คำสำคัญ: มิตรภาพสร้างสันติภาพทางศาสนา, สมเด็จพระมหาธีราจารย์, ขันติธรรมทางศาสนา, Interfaith for Peace, สันติศึกษา


วิเคราะห์ชี้ทิศเลือกตั้งสกลนครเขต 2 ปี 2569! นักวิชาการจับมือ AI ถอดยุทธศาสตร์ “ดร.นิยม เวชกามา” ในนามพลังประชารัฐ



วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัคร ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกี่ยวกับการเตรียมลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดสกลนคร เขต 2 ปี 2569 ของ ดร.นิยม เวชกามา หรือ “ดร.มหานิยม” ในนามพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดยสรุปว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้เป็น “จุดเปลี่ยน” ของการเมืองระดับจังหวัดในอีสาน และผู้สมัครรายดังกล่าวมีความพร้อมเชิงอุดมการณ์และเชิงปฏิบัติครบมิติ

ภาพรวม: ฐานคิด–ทิศทางการหาเสียง

ดร.นิยม ซึ่งเคยเป็น ส.ส.สกลนคร 4 สมัย ประกาศเดินหน้าชิงเก้าอี้เขต 2 อีกครั้ง ภายใต้วิสัยทัศน์ว่า

“สกลนครต้องเป็นเมืองแห่งคุณธรรม นำเศรษฐกิจเข้มแข็งและสังคมสงบสุข”
วางแกนคิดจาก “พุทธจิตวิทยา” ให้การเมืองคืนศักดิ์ศรีแก่ประชาชน เชื่อมยุทธศาสตร์ชาติด้านคนดีมีคุณธรรมและเศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน

6 มิติที่วิเคราะห์

  1. วิสัยทัศน์ (Vision) – ยึดหลัก “ประชาชนคือหัวใจ พระพุทธศาสนาอยู่ในจิตวิญญาณ” ใช้การเมืองเป็นเครื่องมือลดทุกข์ เพิ่มความมั่นคงชีวิต

  2. แนวคิด (Concept) – เสาหลัก 3 ประการ: การเมืองเพื่อประชาชน, การเมืองแห่งศีลธรรม, การบูรณาการศาสนา–สังคม ผ่านกลไก “วัด–โรงเรียน–ชุมชน”

  3. ยุทธศาสตร์ (Strategy) – โมเดล “3 วงกลมสัมพันธ์” ได้แก่ วงประชาชน (เกษตรกร–ครู–ผู้นำชุมชน–พระสงฆ์), วงศาสนา (ทุนศรัทธา/จิตอาสา), วงพัฒนา (ธุรกิจท้องถิ่น–ภาคประชาสังคม)

  4. ยุทธวิธี (Tactics) – เวที “คุยกันอย่างสกลนคร”, ใช้วัดและโรงเรียนเป็นศูนย์สื่อสารนโยบาย, คลิปสั้นเชิงบวกบนโซเชียลเพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่, รณรงค์แบบจิตอาสาแทนการแจกของ

  5. แผนปฏิบัติการ (Action Plan)

    • ระยะ 1 ต.ค. 2568–ม.ค. 2569: ปักธงภาพลักษณ์ใหม่ พปชร. ให้การรับรู้ >90%

    • ระยะ 2 ก.พ.–เม.ย. 2569: สร้าง “ทีมพลังสกลนคร” อาสาอย่างน้อย 2,000 คน

    • ระยะ 3 พ.ค.–วันเลือกตั้ง: ดันนโยบาย 5 ด้าน (ศาสนา–เกษตร–การศึกษา–สุขภาพ–ดิจิทัลชุมชน) มุ่งแต้มต่อคะแนนนิยมเขต 2

  6. โครงการเรือธง (Flagship Projects) – พุทธเศรษฐกิจชุมชน, เยาวชนพุทธจิตอาสา, “สกลนครเมืองศีล 5”, ตลาดธรรมะดิจิทัล

แบรนด์การสื่อสาร

สโลแกนหลัก “ประชาชนคือหัวใจ พระพุทธศาสนาอยู่ในจิตวิญญาณ” ถูกใช้เป็นตำแหน่งทางแบรนด์ สื่อภาพ “นักการเมืองสายคุณธรรม” คู่โทนสีฟ้า–ขาว–ทองและเครื่องแบบทางราชการ สะท้อนความซื่อสัตย์และอุดมการณ์รับใช้สาธารณะ

บทสรุปจากการวิเคราะห์

ทีมวิจัยร่วมมนุษย์–AI ประเมินว่า แผนของดร.นิยมผสาน ทุนศาสนา–ทุนสังคม–ทุนประสบการณ์ เข้ากับเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ได้อย่างมีเอกภาพ จุดเน้นคือการมีส่วนร่วมของชุมชนมากกว่านโยบายประชานิยมสั้น ๆ จึงเป็นกรณีศึกษาของ “การเมืองแนวพุทธจิตวิทยา” ที่ตั้งเป้าสังคมสงบสุขบนฐานเศรษฐกิจชุมชนเข้มแข็ง ก่อนก้าวสู่ศึกเลือกตั้งปี 2569 ในจังหวัดสกลนคร เขต 2.

วิเคราะห์การเตรียมการลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. สกลนคร เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ปี 2569 ของ ดร.นิยม เวชกามา: วิสัยทัศน์ แนวคิด ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี แผนปฏิบัติการ โครงการ และสโลแกน


บทนำ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยในปี พ.ศ. 2569 ถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองระดับจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มักสะท้อนกระแสประชาธิปไตยรากหญ้าและฐานเสียงแบบชุมชน ดร.นิยม เวชกามา หรือ “ดร.มหานิยม” อดีต ส.ส.สกลนคร 4 สมัย ได้ประกาศเจตจำนงชัดเจนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เขต 2 สกลนคร

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการเตรียมการเลือกตั้งของ ดร.นิยม ผ่านมิติสำคัญ 6 ประการ ได้แก่ วิสัยทัศน์ แนวคิด ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี แผนปฏิบัติการ โครงการ และสโลแกน เพื่อสะท้อนความพร้อมทั้งทางอุดมการณ์และเชิงปฏิบัติในการเข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างเป็นระบบ


1. วิสัยทัศน์ทางการเมือง (Political Vision)

วิสัยทัศน์ของ ดร.นิยม เวชกามา ยังคงตั้งอยู่บนหลักการ “ประชาชนคือหัวใจ พระพุทธศาสนาอยู่ในจิตวิญญาณ” ซึ่งสะท้อนแนวคิดการเมืองแบบพุทธจิตวิทยา (Buddhist Political Psychology) — มุ่งให้การเมืองเป็นเครื่องมือสร้างความสมดุลระหว่าง คุณธรรม จิตสำนึก และความมั่นคงของชีวิตประชาชน

เขามองว่า “การเมืองต้องไม่ใช่เพียงการแย่งอำนาจ แต่เป็นการคืนศักดิ์ศรีให้ประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย” ดังนั้น วิสัยทัศน์หลักในการลงสมัครปี 2569 คือ

“สกลนครต้องเป็นเมืองแห่งคุณธรรม นำเศรษฐกิจเข้มแข็งและสังคมสงบสุข”

ซึ่งเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในประเด็น “คนดีมีคุณธรรม” และ “เศรษฐกิจฐานรากยั่งยืน”


2. แนวคิดหลัก (Core Concept)

แนวคิดการทำงานของ ดร.นิยม สามารถสรุปได้ 3 เสาหลัก (Three Pillars Concept) ได้แก่

  1. การเมืองเพื่อประชาชน (People-Oriented Politics) – เน้นการลงพื้นที่ รับฟังปัญหา และร่วมแก้ไขด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน

  2. การเมืองแห่งศีลธรรม (Moral Politics) – ผสานหลักธรรมะและหลักประชาธิปไตย เพื่อสร้าง “ผู้นำจิตอาสา” มากกว่า “นักการเมืองอาชีพ”

  3. การเมืองเพื่อศาสนาและสังคม (Religion-Social Integration) – พัฒนาโครงสร้างศาสนาให้เข้มแข็งผ่านกลไกวัด–โรงเรียน–ชุมชน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจและเศรษฐกิจ


3. ยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง (Election Strategy)

จากการวิเคราะห์โครงสร้างพื้นที่และฐานเสียงของสกลนคร เขต 2 ดร.นิยม ใช้ยุทธศาสตร์ “3 วงกลมสัมพันธ์” ดังนี้

  1. วงกลมประชาชน (People Ring): เน้นกลุ่มเกษตรกร ครู ผู้นำชุมชน และพระสงฆ์ในวัดต่าง ๆ ที่เป็นเครือข่ายศรัทธาเดิม

  2. วงกลมศาสนา (Faith Ring): ใช้ทุนทางศาสนาและจิตอาสาเป็นฐานขับเคลื่อนกิจกรรม “พุทธพลังชุมชน”

  3. วงกลมพัฒนา (Development Ring): เชื่อมโยงภาคธุรกิจท้องถิ่นและองค์กรประชาสังคม เพื่อผลักดันโครงการเศรษฐกิจฐานราก เช่น วิสาหกิจชุมชนเกษตรปลอดภัย

ยุทธศาสตร์นี้เน้น “พลังแห่งศรัทธาและพลังของการมีส่วนร่วม” มากกว่าการใช้นโยบายประชานิยมระยะสั้น


4. ยุทธวิธีการรณรงค์ (Campaign Tactics)

ยุทธวิธีของ ดร.นิยม ในการเตรียมการเลือกตั้งปี 2569 มีลักษณะเชิง “การสื่อสารจิตวิญญาณ” (Spiritual Communication) และ “ภาวะผู้นำแบบจิตอาสา” (Servant Leadership) ซึ่งประกอบด้วย

  • การสื่อสารตรงถึงประชาชน (Direct Talk Politics): ลงพื้นที่พบปะกลุ่มเป้าหมายย่อยในทุกตำบล พร้อมเวที “คุยกันอย่างสกลนคร”

  • การสร้างเครือข่ายศาสนา–ชุมชน: ใช้วัด โรงเรียน และองค์กรจิตอาสาเป็นพื้นที่กลางสื่อสารนโยบาย

  • การใช้สื่อดิจิทัลอย่างพอดี: ผลิตคลิปสั้นแนว “พุทธการเมืองเชิงบวก” ลง TikTok และ Facebook เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่โดยไม่ขัดกับบุคลิกของผู้สมัคร

  • การรณรงค์เชิงคุณธรรม: ใช้กิจกรรมจิตอาสาแทนการแจกของหรือใช้ทุนการเมือง


5. แผนปฏิบัติการ (Action Plan)

แผนปฏิบัติการถูกออกแบบใน 3 ระยะหลัก ได้แก่

ระยะช่วงเวลาเป้าหมายหลักตัวชี้วัดผลสำเร็จ
ระยะที่ 1ต.ค. 2568 – ม.ค. 2569สร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ใหม่ในนามพรรคพลังประชารัฐประชาชนในเขต 2 รู้จักมากกว่า 90%
ระยะที่ 2ก.พ. – เม.ย. 2569เสริมฐานศรัทธาและเครือข่ายอาสาสมัครมีจิตอาสา “ทีมพลังสกลนคร” อย่างน้อย 2,000 คน
ระยะที่ 3พ.ค. – วันเลือกตั้งสื่อสารนโยบาย 5 ด้านหลัก (ศาสนา, เกษตร, การศึกษา, สุขภาพ, ดิจิทัลชุมชน)คะแนนนิยมสูงสุดในเขต 2

6. โครงการสำคัญที่เสนอ (Flagship Projects)

  1. โครงการพุทธเศรษฐกิจชุมชน (Buddhist Economy Model): ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากโดยยึดหลักความพอเพียงและธรรมาภิบาล

  2. โครงการเยาวชนพุทธจิตอาสา: ปลูกฝังผู้นำรุ่นใหม่ในโรงเรียนให้เข้าใจประชาธิปไตยเชิงคุณธรรม

  3. โครงการสกลนครเมืองศีล 5: พัฒนาเมืองต้นแบบแห่งคุณธรรมด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐ–วัด–ชุมชน

  4. โครงการตลาดธรรมะดิจิทัล: ใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มออนไลน์สร้างตลาดสินค้าชุมชนโดยมีวัดเป็นศูนย์กลาง


7. สโลแกนและอัตลักษณ์การสื่อสาร (Political Branding)

สโลแกนหลักของ ดร.นิยม เวชกามา คือ

“ประชาชนคือหัวใจ พระพุทธศาสนาอยู่ในจิตวิญญาณ”

สโลแกนนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนอุดมการณ์ส่วนตัว แต่ยังเป็น “Brand Positioning” ที่วางตัวเขาไว้ในฐานะ “นักการเมืองสายคุณธรรม” (Moral Politician) ที่แตกต่างจากภาพลักษณ์ของนักการเมืองทั่วไป

โทนสีและสัญลักษณ์ที่ใช้ในการสื่อสาร เช่น สีฟ้าขาว–ทอง (ความสงบและคุณธรรม) และภาพชุดขาวพร้อมเครื่องราชฯ สื่อถึงความซื่อสัตย์และจิตวิญญาณแห่งการรับใช้


บทสรุปเชิงวิเคราะห์

การเตรียมการเลือกตั้งของ ดร.นิยม เวชกามา ในปี 2569 สะท้อนความพยายามของนักการเมืองรุ่นใหญ่ที่นำ “ทุนทางศาสนา–ทุนทางสังคม–ทุนทางประสบการณ์” มาผสมผสานกับยุทธศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ได้อย่างมีเอกภาพ

เขาไม่เพียงเตรียมตัวในเชิงกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังยกระดับการเมืองท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับมิติคุณธรรมและจิตวิญญาณของสังคมไทย ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของ “การเมืองแนวพุทธจิตวิทยา” ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมสงบสุขอย่างยั่งยืน


บรรณานุกรมอ้างอิง (References)

  • ข้อมูลประวัติและผลงานจากเอกสารประชาสัมพันธ์ “ดร.นิยม เวชกามา พรรคพลังประชารัฐ เขต 2 สกลนคร” (2568)

  • สัมภาษณ์และข้อมูลประกอบจากสื่อออนไลน์ท้องถิ่นสกลนคร (2568)

  • ข้อมูลประกาศและบันทึกการดำรงตำแหน่งในราชการจากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา

“ดร.สำราญ” เผยผลวิเคราะห์ร่วม AI ชี้ 31ต.ค. ราคาน้ำยางสดยังไม่แตะเป้า 70 บาทต่อกิโล แม้รัฐเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนเข้มข้น

 


เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยผลการศึกษาวิเคราะห์เชิงวิชาการร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง “ราคาน้ำยางสดในประเทศไทยสูงขึ้นสู่เพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568” พบว่า แม้มาตรการของภาครัฐจะมีทิศทางเชิงบวก แต่ราคาน้ำยางสดในพื้นที่ภาคตะวันออกยังอยู่เพียง 44 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้


🔹 รัฐเร่งนโยบาย “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยความจริง” ดันราคายางแตะ 70 บาท

ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรกว่า 1.6 ล้านครัวเรือน แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ราคายางตกต่ำและผันผวนจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก การลักลอบนำเข้ายางเถื่อน และอิทธิพลของผู้ประกอบการรายใหญ่

ในปี 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายใต้การนำของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ประกาศมาตรการเร่งรัดหลายด้านเพื่อสร้างเสถียรภาพราคายาง โดยตั้งเป้าดันราคาน้ำยางสดให้แตะ 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของนโยบาย “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยความจริง”


🔹 เข้มมาตรการสกัด “ยางเถื่อน” – ตั้งเขตควบคุม 5 จังหวัดชายแดน

หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการประกาศ เขตควบคุมยางพารา ใน 5 จังหวัดชายแดน ได้แก่ เชียงราย ตาก กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และระนอง เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้ายางราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีปริมาณมากกว่า 300,000–500,000 ตันต่อปี

โดยผู้ขนย้ายยางต้องยื่นขออนุญาตทุกครั้งและรายงานข้อมูลแหล่งที่มา ปริมาณ และคุณภาพของยาง หากขนส่งเกิน 72 ชั่วโมงจะถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งมาตรการนี้ช่วยลดปริมาณยางเกินในตลาด และคาดว่าจะส่งผลให้ราคาภายในประเทศขยับสูงขึ้นในระยะถัดไป


🔹 4 กระทรวงจับมือ กยท. เพิ่มการใช้ยางในประเทศ

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ 4 กระทรวง ได้แก่ ศึกษาธิการ การท่องเที่ยวและกีฬา พัฒนาสังคมฯ และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราภายในประเทศ เช่น พื้นสนามกีฬา หมอนยางพารา และอุปกรณ์การเกษตร

ร.อ.ธรรมนัสระบุว่า การบูรณาการความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ยางในประเทศ และ “ขับเคลื่อนราคาน้ำยางสดให้แตะระดับ 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในเดือนตุลาคม”


🔹 AI วิเคราะห์: ยังไม่บรรลุเป้าหมาย เหตุกลไกตลาดตอบสนองช้า

จากการวิเคราะห์ร่วมระหว่าง ดร.สำราญ สมพงษ์ และระบบ AI พบว่า ราคายางสดในหลายพื้นที่ยังไม่ปรับขึ้นตามเป้า เนื่องจาก

  • กลไกตลาดยางไทยยังผูกพันกับอุปสงค์ต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและมาเลเซีย

  • การบังคับใช้กฎหมายควบคุมยางเถื่อนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น

  • มาตรการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศยังอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง

  • ตลาดภายในยังถูกกำหนดราคาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย

ส่งผลให้ราคาน้ำยางสดในตลาดหน้าสวนยังไม่สะท้อนนโยบายภาครัฐอย่างเต็มรูปแบบ


🔹 ผลกระทบและแนวโน้มต่อเกษตรกร

หากราคาน้ำยางสดขยับสู่ระดับ 60–70 บาทได้จริง จะช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรกว่า 1.6 ล้านครัวเรือนเฉลี่ย 30–40% ต่อเดือน แต่ในระยะสั้น ราคาที่ยังไม่ขยับส่งผลให้ชาวสวนยางหลายพื้นที่ยังต้องรับภาระต้นทุนสูง โดยเฉพาะภาคใต้และตะวันออก


🔹 ดร.สำราญชี้ — “นโยบายมีทิศทางดี แต่ยังไม่สร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ”

ดร.สำราญกล่าวว่า

“นโยบายของภาครัฐได้สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวก แต่ยังไม่สร้างแรงส่งเชิงเศรษฐกิจในระดับที่ทำให้ราคาน้ำยางสดขยับถึงเป้าหมายภายในเดือนตุลาคม”

พร้อมเสนอว่า ควรเร่ง

  • บังคับใช้กฎหมายสกัดยางเถื่อนอย่างเข้มข้น

  • ส่งเสริมการผลิตสินค้ายางแปรรูปเพิ่มมูลค่า

  • พัฒนา “ระบบประกันรายได้ยางระดับชุมชน”

  • และเปิดตลาดใหม่ในประเทศให้กว้างขึ้น


🔹 แนวโน้มปี 2569

บทวิเคราะห์ระบุว่า หากมาตรการรัฐดำเนินต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ ราคาน้ำยางสดมีแนวโน้มค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นใน ไตรมาสแรกของปี 2569 โดยเฉพาะเมื่อโครงการใช้ยางในภาครัฐเริ่มเดินหน้าเต็มรูปแบบ


🟩 สรุปข่าว:
แม้นโยบายรัฐเพื่อยกระดับราคาน้ำยางสดยังไม่บรรลุเป้าหมายภายในเดือนตุลาคม 2568 แต่ได้จุดประกาย “ความหวังใหม่” ให้กับชาวสวนยางทั่วประเทศ โดยเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลเริ่มขยับแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดยางอย่างจริงจัง

การวิเคราะห์นโยบายการผลักดันราคาน้ำยางสดไทยสู่เพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัม

โดย ดร.สำราญ สมพงษ์
นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี
ร่วมกับ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)


บทคัดย่อ (Abstract)

บทความนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์เชิงนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อยกระดับราคาน้ำยางสดในประเทศไทยให้แตะเพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในเดือนตุลาคม 2568 โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตรร่วมกับข้อมูลภาคสนาม พบว่า แม้นโยบายของภาครัฐมีทิศทางเชิงบวกและก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในตลาด แต่ในเชิงปฏิบัติราคาน้ำยางสดยังไม่ขยับถึงเป้าหมาย โดยอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 44 บาทต่อกิโลกรัม ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของตลาดยางไทยและความล่าช้าในการตอบสนองของกลไกเศรษฐกิจ


1. บทนำ

ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทยที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรกว่า 1.6 ล้านครัวเรือน และเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตาม ราคายางในรอบทศวรรษที่ผ่านมามีความผันผวนสูง อันเนื่องมาจากปัจจัยภายนอก (ราคาน้ำมันโลก ความต้องการของจีน) และปัจจัยภายในประเทศ (การลักลอบนำเข้ายางเถื่อน การผูกขาดตลาด และข้อมูลไม่โปร่งใส)

ในปี 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายใต้การนำของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ประกาศนโยบาย “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยความจริง” โดยตั้งเป้ายกระดับราคาน้ำยางสดให้แตะเพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2568


2. มาตรการสำคัญของภาครัฐ

2.1 ควบคุมการลักลอบนำเข้ายางเถื่อน

ออกประกาศ “เขตควบคุมยางพารา” ใน 5 จังหวัดชายแดน (เชียงราย ตาก กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และระนอง) เพื่อสกัดยางเถื่อนกว่า 300,000–500,000 ตันต่อปี ซึ่งเคยเป็นต้นเหตุให้ราคายางตกต่ำ

2.2 ความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการใช้ยางในประเทศ

มีการลงนาม MOU ระหว่าง 4 กระทรวงหลัก (เกษตรฯ, ศึกษาธิการ, การท่องเที่ยวและกีฬา, พม.) และการยางแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้วัสดุจากยางพาราในโครงการของรัฐ เช่น สนามกีฬา พื้นยาง หมอน และอุปกรณ์ทางการเกษตร

2.3 การบริหารจัดการข้อมูลสต๊อกและตรวจสอบผู้ประกอบการ

ดำเนินโครงการ “ออกโฉนดต้นยาง” เพื่อสร้างฐานข้อมูลการผลิต–การใช้ที่โปร่งใส พร้อมตรวจสอบพฤติกรรมผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อาจกดราคารับซื้อจากเกษตรกร


3. ผลการวิเคราะห์และสถานการณ์จริง

ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ระบุว่า

ราคาน้ำยางสดในจังหวัดระยองเฉลี่ยอยู่ที่ 44 บาทต่อกิโลกรัม
ซึ่ง ยังไม่บรรลุเป้าหมาย 60–70 บาท ที่ตั้งไว้โดยกระทรวงเกษตรฯ


4. วิเคราะห์เชิงโครงสร้าง

4.1 กลไกตลาดยังไม่ตอบสนอง

ตลาดยางไทยผูกพันกับอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและมาเลเซีย ซึ่งยังไม่ปรับตัวทันต่อมาตรการรัฐ

4.2 การลักลอบนำเข้ายางเถื่อนยังมีอยู่บางส่วน

แม้มีประกาศควบคุม แต่การบังคับใช้ในภาคสนามยังไม่เต็มรูปแบบ

4.3 มาตรการส่งเสริมการใช้ยางอยู่ในระยะเริ่มต้น

MOU ที่ลงนามยังไม่แปรสภาพเป็นคำสั่งซื้อจริงในระบบราชการ

4.4 อิทธิพลของกลุ่มทุนขนาดใหญ่

ตลาดยางมีผู้เล่นหลักเพียงไม่กี่รายที่มีอำนาจต่อรองสูง ทำให้ราคาหน้าสวนยังไม่สะท้อนนโยบายรัฐ


5. สรุปผลและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

  • นโยบายของรัฐได้สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวก แต่ยังไม่สร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ

  • ควรเร่งบังคับใช้กฎหมายควบคุมยางเถื่อนให้ได้ผลในเชิงปฏิบัติ

  • ส่งเสริมการผลิตสินค้าแปรรูปจากยางเพื่อเพิ่มมูลค่าในประเทศ

  • สร้างระบบ “ประกันรายได้ยาง” ระดับชุมชนเพื่อเสริมความมั่นคง

  • พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลกลางด้านยาง เพื่อป้องกันการผูกขาดราคา


บทสรุป

นโยบายผลักดันราคาน้ำยางสดสู่เพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นกรณีศึกษานโยบายเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญของไทยในปี 2568 แม้ยังไม่บรรลุผลตามเป้าหมายในเชิงตัวเลข แต่ได้จุดประกาย “แรงศรัทธาใหม่” ให้กับชาวสวนยางทั่วประเทศว่ารัฐบาลกำลังเดินในทิศทางที่ถูกต้อง หากมีการปรับยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ราคายางมีแนวโน้มขยับขึ้นได้ในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2569

"ดร.สำราญ" จับมือ AI วิเคราะห์ “ศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ” โฆษกพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ผ่านมุมมองพุทธสันติวิธี


 

ชี้เป็นนักการเมืองรุ่นกลาง–รุ่นใหม่ ที่เชื่อมโยงการสื่อสารเชิงนโยบายกับความสงบและความเข้าใจในสังคมการเมืองไทย


เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568
ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำการศึกษาวิเคราะห์เชิงวิชาการในหัวข้อ “ศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทยคนใหม่ กับบริบทการสื่อสารเชิงพุทธสันติวิธี”

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ศึกษิษฎ์เป็นบุคคลที่มีความโดดเด่นในด้าน “การสื่อสารอย่างมีเหตุผลและสมดุล” ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธสันติวิธี โดยเฉพาะในมิติการใช้ถ้อยคำเพื่อสร้างความเข้าใจมากกว่าความขัดแย้งในสนามการเมืองที่มักเต็มไปด้วยการปะทะเชิงวาทกรรม


🔹 วิเคราะห์ 3 มิติ: พื้นฐาน–นโยบาย–ความท้าทาย

ดร.สำราญอธิบายว่า การวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่
(1) พื้นฐานบุคคลและเส้นทางการเมือง
(2) ความเชี่ยวชาญทางนโยบายและการสื่อสาร
(3) โอกาสและความท้าทายของบทบาทโฆษกพรรค

จากข้อมูลพบว่า ศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ เป็นที่รู้จักในฐานะ “นักคิดเศรษฐกิจรุ่นใหม่” ของพรรคเพื่อไทย โดยมีบทบาทสำคัญทั้งในฐานะรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และเป็นหนึ่งในทีม Think Tank ของพรรค
เขาจบการศึกษาด้าน Economics & Political Science จากสหรัฐอเมริกา และปริญญาโท MBA ด้านการเงินและการตลาด จากศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เส้นทางการทำงานของเขาเกี่ยวข้องกับนโยบายเศรษฐกิจ เช่น โครงการ Entertainment Complex ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่จุดประกายการถกเถียงทางสังคมอย่างกว้างขวาง


🔹 โอกาสและความท้าทาย

ในเชิงการเมือง ดร.สำราญระบุว่า การแต่งตั้งศึกษิษฎ์เป็นโฆษกพรรคเพื่อไทยมีความหมายเชิงกลยุทธ์ เพราะสะท้อนถึง “การเปลี่ยนผ่านทางภาพลักษณ์” จากพรรคที่ถูกมองว่าเป็นของคนรุ่นเก่า ไปสู่พรรคที่เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นกลางและรุ่นใหม่มีบทบาทมากขึ้น

“ศึกษิษฎ์คือสะพานเชื่อมทางการเมืองระหว่างคนรุ่นก่อนกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่ความเห็นทางสังคมแตกแยกและสื่อสารเร็วเกินเข้าใจ”
— ดร.สำราญ สมพงษ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญของเขาคือการรักษาสมดุลระหว่าง การเป็นโฆษกเชิงนโยบาย ที่ต้องชัดเจน และ การสื่อสารเชิงสันติวิธี ที่ต้องสร้างความเข้าใจมากกว่าความขัดแย้ง ซึ่งเป็นหัวใจของการเมืองเชิงสร้างสรรค์


🔹 มิติพุทธสันติวิธี: การสื่อสารเพื่อความเข้าใจ

ในมุมมองของดร.สำราญ การสื่อสารของศึกษิษฎ์มีลักษณะ “อิงเหตุผลและมุ่งความเข้าใจ” มากกว่าการตอบโต้เชิงอารมณ์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธสันติวิธี 4 ประการ ได้แก่

  1. การฟังอย่างเข้าใจ (โยนิโสมนสิการ)

  2. การพูดอย่างไม่เบียดเบียน (สัมมาวาจา)

  3. การใช้เหตุผลแทนอารมณ์ (ปัญญา)

  4. การสื่อสารเพื่อประโยชน์ส่วนรวม (อุเบกขาเชิงสร้างสรรค์)

เขาจึงมองว่าหากศึกษิษฎ์สามารถคงแนวทางนี้ไว้ได้ จะเป็น “ต้นแบบของนักสื่อสารการเมืองยุคใหม่” ที่ใช้ปัญญาแทนการปะทะ


🔹 สรุป

บทวิเคราะห์สรุปว่า ศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ คือบุคคลที่สะท้อน ทิศทางใหม่ของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการสื่อสารบนฐานของเหตุผล นโยบาย และความเข้าใจ โดยมีจุดแข็งคือความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจและทักษะการอธิบายเชิงวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การรักษาสมดุลระหว่างการเป็น “นักการเมืองมืออาชีพ” และ “ผู้สื่อสารเชิงพุทธสันติวิธี” ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างใหม่ของการเมืองไทยในอนาคต


🟤 คำกล่าวปิดท้ายของ ดร.สำราญ สมพงษ์

“ในยุคที่การเมืองขับเคลื่อนด้วยอารมณ์และความเร็ว การมีนักสื่อสารที่พูดด้วยเหตุผลและสติคือสิ่งจำเป็น — และศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ อาจเป็นหนึ่งในความหวังนั้น”

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" ร่วม AI วิเคราะห์ “ปรัชญาคล็อปป์–สล็อต” ชี้บูรณาการหลักธรรมพุทธสร้างภาวะผู้นำแห่งสติแนะ "สล็อต" ลดอัตตา

 


เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำการ วิเคราะห์ปรัชญา “คล็อปป์” สู่ “สล็อต”: บูรณาการหลักธรรมในพระไตรปิฎก โดยมีเป้าหมายเพื่อถอดบทเรียนทางจิตวิญญาณของผู้นำจากวงการฟุตบอลโลกสู่มิติของพุทธปรัชญา

ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า แนวคิดการนำทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ (Jürgen Klopp) ผู้จัดการทีมฟุตบอลชื่อดังแห่งสโมสรลิเวอร์พูล เป็นตัวอย่างของ “ภาวะผู้นำทางจิตใจ” (Spiritual Leadership) ที่สามารถอธิบายได้ผ่านหลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก ได้แก่ อริยสัจ 4, ไตรสิกขา, และ อิทธิบาท 4 โดยเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันของ อาร์เนอ สล็อต (Arne Slot) ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ซึ่งกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากผลงานในสนาม


⚽ “คล็อปป์” ตัวอย่างผู้นำที่ยอมรับทุกข์และเรียนรู้จากความพ่ายแพ้

ดร.สำราญ อธิบายว่า ปรัชญาของคล็อปป์ไม่เพียงเป็นกลยุทธ์ฟุตบอล แต่เป็น “แนวทางพัฒนาใจ” ที่สะท้อนหลัก อริยสัจ 4 โดยเฉพาะการ “รู้ทุกข์” และ “เห็นเหตุแห่งทุกข์” เพื่อพัฒนาสู่ “มรรค” หรือหนทางแห่งการแก้ไข เขาเคยกล่าวว่า

“ผมเคยแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ 6 ครั้งติดต่อกัน แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้”

คำพูดนี้สะท้อนการยอมรับความจริงอย่างมีสติ ซึ่งต่างจากแนวทางของอาร์เนอ สล็อต ที่มักให้เหตุผลภายนอก เช่น การพักน้อยหรือทีมเล็กเกินไป อันเป็นสัญญาณของการยังไม่เห็น “เหตุแห่งปัญหาภายใน”


🧠 ภาวะผู้นำเชิงธรรม: “โยนิโสมนสิการ” และ “อุเบกขา”

จากการวิเคราะห์โดย AI และ ดร.สำราญ พบว่า คล็อปป์ใช้หลัก “โยนิโสมนสิการ” หรือการคิดอย่างแยบคายในการทบทวนตนเอง เมื่อพ่ายแพ้ เขาไม่โทษลูกทีม แต่กลับตั้งคำถามกับตนว่า

“บางทีข้อความที่ผมส่งถึงลูกทีมอาจยังไม่ชัดพอ”

นี่คือสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “ภาวะผู้นำเชิงธรรม” (Dhammic Leadership) ที่ตั้งอยู่บนฐานของ สติ–สัมปชัญญะ และ “อุเบกขา” คือความมั่นคงทางใจที่ไม่หวั่นไหวต่อผลแพ้ชนะ


⚖️ สล็อตกับบทเรียนแห่งอัตตา: เมื่อการโทษภายนอกคือหลงตน

ในทางกลับกัน การที่อาร์เนอ สล็อต กล่าวโทษปัจจัยรอบตัวหลังจากพาทีมแพ้ต่อเนื่องกว่า 7 นัด แสดงถึงภาวะของ “อัตตทิฏฐิ” หรือความยึดมั่นในตัวตน ซึ่งเป็นรากเหง้าของ สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์)

ดร.สำราญเสนอว่า สล็อตควรเรียนรู้จากหลัก อิทธิบาท 4 ได้แก่

  • ฉันทะ – ความรักในสิ่งที่ทำ ไม่ใช่การทำเพื่อป้องกันความผิด

  • วิริยะ – ความเพียรแม้ล้มเหลว

  • จิตตะ – ความจดจ่อมั่นคงในเป้าหมาย

  • วิมังสา – การใช้ปัญญาทบทวนอย่างรอบด้าน

“คล็อปป์มีครบทั้งสี่ข้อ แต่สล็อตยังขาดวิมังสา เพราะยังไม่ใช้ปัญญามองย้อนกลับมาที่ตนเอง” ดร.สำราญกล่าว


💬 จากการปกป้องสู่การกล่าวโทษ: เมื่อศรัทธาในทีมเริ่มสั่นคลอน

คล็อปป์เคยยืนยันว่า “หน้าที่ของผมคือปกป้องลูกทีมจากโลกภายนอก เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์” ซึ่งสะท้อนหลัก พรหมวิหาร 4 โดยเฉพาะ “กรุณา” และ “อุเบกขา” ที่ช่วยสร้างความไว้วางใจในทีม

แต่สล็อตกลับเลือกใช้แนวทางตรงข้าม คือกล่าวโทษลูกทีมและปัจจัยรอบตัว ซึ่งทำลายหลัก “สังวร” และ “ศีลสิกขา” ที่เป็นรากฐานของการเป็นผู้นำที่มีจริยธรรม


🪷 เปลี่ยนความพ่ายแพ้เป็นธรรมะ

คล็อปป์เปลี่ยนประสบการณ์แพ้ 6 นัดให้กลายเป็น “สนามภาวนา” จนในปี 2019 เขาพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรป และปีถัดมาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี
เขาดำเนินชีวิตตามหลัก ไตรสิกขา ได้แก่

  • ศีล: ซื่อสัตย์ต่อทีมและแฟนบอล

  • สมาธิ: จิตมั่นคงไม่หวั่นไหว

  • ปัญญา: รู้เท่าทันเหตุแห่งความพ่ายแพ้


🌿 บูรณาการหลักธรรมสู่การบริหารสมัยใหม่

ดร.สำราญชี้ว่า ฟุตบอลและพุทธปรัชญามีจุดร่วมเดียวกันคือ “การรู้เท่าทันใจตนเอง” หากสล็อตต้องการฟื้นทีมให้กลับมามีพลังอีกครั้ง จำเป็นต้องนำหลักธรรมมาใช้จริง เช่น

หลักธรรมการประยุกต์ใช้ในฟุตบอล
อริยสัจ 4วิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่โทษภายนอก
อิทธิบาท 4ปลูกฉันทะและวิริยะในทีมให้มีจิตใจร่วม
ไตรสิกขาสร้างวินัยและความมั่นคงทางใจ
พรหมวิหาร 4สร้างความไว้วางใจผ่านเมตตาและกรุณา
โยนิโสมนสิการใช้เหตุผลแทนอารมณ์ในการตัดสินใจ

📜 สรุป: ผู้นำแท้ชนะด้วยใจไม่ใช่ชัยชนะ

ดร.สำราญกล่าวสรุปว่า “ปรัชญาของคล็อปป์ไม่ใช่เพียงเรื่องฟุตบอล แต่คือธรรมะแห่งผู้นำที่ใช้ได้ในทุกองค์กร ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นสนามซ้อมของจิตใจ”

พร้อมอ้างคำสอนจาก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า

“ผู้มีสติย่อมเห็นทางออกจากทุกข์ แม้ในความมืด”

“หากอาร์เนอ สล็อต เข้าใจสิ่งนี้ เขาจะไม่เพียงเป็นโค้ชฟุตบอล แต่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของทีม เหมือนที่เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยเป็น” ดร.สำราญ กล่าวทิ้งท้าย

วิเคราะห์ปรัชญา “คล็อปป์” สู่ “สล็อต”: บูรณาการหลักธรรมในพระไตรปิฎก

บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิดและปรัชญาการนำทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ (Jürgen Klopp) ผู้จัดการทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียงในด้าน “ภาวะผู้นำทางจิตใจ” และเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันของ อาร์เนอ สล็อต (Arne Slot) ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ภายใต้กรอบการบูรณาการหลักธรรมในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะหลัก “อริยสัจ 4”, “ไตรสิกขา”, และ “อิทธิบาท 4” เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการนำทีมอย่างมีปัญญาและสติสามารถสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนกว่าการโทษภายนอกหรือหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ


1. บทนำ

ในโลกฟุตบอลอาชีพ “ปรัชญาการนำทีม” ไม่ได้หมายถึงเพียงกลยุทธ์ในสนาม แต่รวมถึง “ทัศนคติและจิตวิญญาณของผู้นำ” ที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมของทีมโดยตรง เยอร์เก้น คล็อปป์ คือตัวอย่างของผู้นำที่มอง “ความพ่ายแพ้” เป็นบทเรียนแห่งการเติบโต เขาเคยกล่าวว่า

“ผมเคยแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ 6 ครั้งติดต่อกัน แต่ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้แพ้”

คำกล่าวนี้สะท้อนปรัชญาแห่งการยอมรับ “ทุกข์” ตามแนว อริยสัจ 4 ซึ่งเริ่มจากการ “รู้ทุกข์” (ทุกข์) ก่อนที่จะ “เห็นเหตุแห่งทุกข์” (สมุทัย) และ “หาหนทางดับทุกข์” (นิโรธ) ผ่าน “มรรค” หรือแนวทางแห่งการพัฒนา ในทางตรงข้าม อาร์เนอ สล็อต ผู้สืบทอดตำแหน่ง กลับแสดงออกในแนวทางที่ต่างออกไป ด้วยการให้เหตุผลภายนอก เช่น การพักน้อย นักเตะผิดพลาด หรือทีมเล็กเกินไป สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงการหลงอยู่ใน สมุทัย โดยยังไม่ก้าวสู่การเข้าใจ “เหตุแท้ของปัญหา” ภายในตนเองและระบบการนำทีม


2. ปรัชญา “คล็อปป์”: ภาวะผู้นำแห่งเมตตาและโยนิโสมนสิการ

คล็อปป์ถือเป็นผู้นำที่ใช้หลัก “โยนิโสมนสิการ” — การคิดโดยแยบคาย — ในการประเมินความล้มเหลว เขาไม่โทษโชค ไม่โทษลูกทีม แต่กลับมาทบทวนตนเองว่า

“บางทีข้อความที่ผมส่งถึงลูกทีมอาจยังไม่ชัดพอ”

นี่คือรูปแบบของ “ภาวะผู้นำเชิงธรรม” (Dhammic Leadership) ซึ่งสอดคล้องกับหลัก “สติ–สัมปชัญญะ” ในพระไตรปิฎก ผู้นำที่มีสติจะรู้เท่าทันความจริง ไม่หลงไปตามอารมณ์หรือความกลัว ในทางจิตวิทยาพุทธ คล็อปป์แสดง “อุเบกขา” — ความตั้งมั่นของใจที่ไม่หวั่นไหวต่อผลลัพธ์ แต่ไม่ใช่การเพิกเฉย หากเป็นการ “ยอมรับ” เพื่อใช้พลังแห่งปัญญาพัฒนาให้ดีขึ้น


3. สล็อตกับบทเรียนแห่งอัตตา: เมื่อการกล่าวโทษคือการหลงตน

ในมุมกลับกัน การที่อาร์เนอ สล็อต กล่าวโทษปัจจัยภายนอกหลังความพ่ายแพ้ต่อเนื่อง 7 นัด อาจสะท้อนถึง “อัตตทิฏฐิ” — ความยึดมั่นในตัวตน ซึ่งเป็นรากเหง้าของ สมุทัย ในอริยสัจ 4 ผู้นำที่ยังมองไม่เห็น “เหตุแห่งปัญหาภายใน” ย่อมไม่สามารถพัฒนา “มรรค” เพื่อแก้ไขได้

หลักธรรมที่ควรประยุกต์คือ อิทธิบาท 4 ได้แก่

  1. ฉันทะ – ความรักในสิ่งที่ทำ มิใช่ทำเพื่อป้องกันความผิด

  2. วิริยะ – ความเพียรต่อเนื่องแม้ล้มเหลว

  3. จิตตะ – ความจดจ่อมั่นคงในเป้าหมาย

  4. วิมังสา – การใช้ปัญญาวิเคราะห์อย่างรอบด้าน

คล็อปป์แสดงให้เห็นอิทธิบาทครบทั้งสี่ข้อ ส่วนสล็อตในปัจจุบันยังอยู่ในช่วงของการขาด “วิมังสา” — คือการขาดการทบทวนด้วยปัญญา


4. ความไว้วางใจในทีม: จาก “การปกป้อง” สู่ “การกล่าวโทษ”

คล็อปป์เคยกล่าวว่า

“หน้าที่ของผมคือปกป้องลูกทีมจากโลกภายนอก เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หุ่นยนต์”

คำกล่าวนี้สะท้อน พรหมวิหาร 4 โดยเฉพาะ “กรุณา” (ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์) และ “อุเบกขา” (การวางใจเป็นกลางอย่างมีปัญญา) ผู้นำที่มีกรุณาจะสร้าง “ศรัทธา” ภายในทีม ซึ่งเป็นพลังที่ไม่สามารถสร้างได้จากคำสั่งหรือกลยุทธ์ แต่จาก “ความเข้าใจในจิตใจคน”

ในทางตรงข้าม สล็อตเลือกใช้วิธี “โทษลูกทีม” และ “โทษปัจจัยภายนอก” สิ่งนี้ทำลายหลัก “สังวร” (ความระวังในวาจาและเจตนา) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ ศีลสิกขา ใน “ไตรสิกขา”


5. การเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นธรรมะ

ความพ่ายแพ้ของคล็อปป์ในอดีต 6 นัด ไม่ได้ทำให้เขาหยุด แต่กลายเป็นเวทีแห่ง “ภาวนา” คือการฝึกฝนภายในใจ เขาเปลี่ยน “ทุกข์” ให้เป็น “ครู” และใช้ “มรรค” คือการปรับทีม ปรับจิต และสร้างพลังศรัทธา จนนำลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปในปี 2019 และพรีเมียร์ลีกในปีถัดมา

นี่สอดคล้องกับหลัก ไตรสิกขา คือ

  • ศีล: รักษาความสัมพันธ์ในทีมด้วยความซื่อสัตย์

  • สมาธิ: มีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อเสียงวิจารณ์

  • ปัญญา: รู้เท่าทันเหตุและผลอย่างไม่หลงอารมณ์

ผู้นำที่ดำเนินชีวิตตามไตรสิกขาย่อมไม่เพียงชนะในสนาม แต่ชนะใจคนรอบข้าง


6. การบูรณาการหลักธรรมสู่การนำทีมสมัยใหม่

หากอาร์เนอ สล็อต ต้องการฟื้นทีมลิเวอร์พูลให้กลับมาสู่รากเดิม เขาจำเป็นต้องเรียนรู้ปรัชญาแห่ง “การยอมรับตนเอง” ตามแนวทางพุทธ คือ “สติ–สัมปชัญญะ–ปัญญา” และบูรณาการหลักธรรมกับการบริหารจัดการคน เช่น

หลักธรรมการประยุกต์ใช้ในฟุตบอล
อริยสัจ 4วิเคราะห์ปัญหาเชิงระบบ ไม่โทษภายนอก
อิทธิบาท 4ปลูกฉันทะและวิริยะในทีมเพื่อจิตใจร่วม
ไตรสิกขาสร้างวินัย ความมั่นคงทางใจ และการเรียนรู้ต่อเนื่อง
พรหมวิหาร 4สร้างความไว้วางใจผ่านเมตตาและกรุณา
โยนิโสมนสิการใช้เหตุผลแทนอารมณ์ในทุกการตัดสินใจ

7. สรุป

ปรัชญาของคล็อปป์ไม่ใช่เพียงเรื่องของฟุตบอล หากแต่เป็น “ธรรมะแห่งผู้นำ” ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกองค์กร เขาแสดงให้เห็นว่า “ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นสนามซ้อมของจิตใจ” ในขณะที่สล็อตกำลังยืนอยู่ในจุดที่คล็อปป์เคยยืน สิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ไม่ใช่แทคติกใหม่ แต่คือ “การเข้าใจตนเอง” และ “กลับมามีเมตตาต่อทีม”

ดังพระพุทธพจน์ตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ว่า

“ผู้มีสติย่อมเห็นทางออกจากทุกข์ แม้ในความมืด”

หากสล็อตตระหนักได้ดังนี้ เขาจะไม่เพียงเป็นผู้ฝึกสอนฟุตบอล แต่จะเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ของทีม — เหมือนที่คล็อปป์เคยเป็น


คำสำคัญ: เยอร์เก้น คล็อปป์, อาร์เนอ สล็อต, ภาวะผู้นำเชิงธรรม, อริยสัจ 4, ไตรสิกขา, อิทธิบาท 4

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...