เมื่อวันท 12 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลวิเคราะห์ร่วมกับเอไอในหัวข้อ “สงครามผี: ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา และพุทธสันติวิธี” ชี้ปรากฏการณ์ที่ถูกเรียกว่า “สงครามผี” ไม่ใช่เพียงเรื่องความเชื่อพื้นถิ่น แต่เป็น “วาทกรรมทางการเมือง” ที่ผสานผี–เทคโนโลยี–การระดมมวลชน อาจเร่งอารมณ์ความกลัว โกรธ และสร้างความชอบธรรมต่อมาตรการแข็งกร้าวได้
ดร.สำราญระบุว่า การถกเถียงสาธารณะควรพ้นจากการโฟกัสบุคคลหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า และหันมาเห็น “รากโครงสร้าง” ของปัญหา ได้แก่ มรดกพรมแดนสมัยอาณานิคม ความซับซ้อนทางกฎหมาย/การทูต (เช่น MOU และคณะกรรมการชายแดนร่วม RBC/GBC) ตลอดจนผลกระทบต่อ “ความมั่นคงเชิงมนุษย์” ของชุมชนที่พึ่งพาการค้าข้ามแดน เกษตร และเครือญาติ
งานศึกษาชี้ว่า คำว่า “สงครามผี” ทำหน้าที่เป็นเมตาฟอร์าที่รวมความเชื่อผี แสง–เสียง และเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างโดรน เข้ากับถ้อยคำปลุกเร้าในภาวะการเมืองใกล้เลือกตั้ง จึงเสี่ยงต่อการเกิดการเคลื่อนไหวแบบไม่เป็นทางการ การตอบโต้เกรี้ยวกราด และการใช้รัฐศาสตร์เชิงเผชิญหน้าแทนการเจรจา
ด้านแนวทางปฏิบัติ ดร.สำราญเสนอให้ “ทำให้การทูตโปร่งใสและมีส่วนร่วมมากขึ้น” เปิดเผยสาระสำคัญของข้อตกลงพรมแดน จัดให้มีตัวแทนชุมชนร่วมติดตามผล เสริมทีม RBC/GBC ด้วยผู้เชี่ยวชาญสิทธิมนุษยชน–เศรษฐศาสตร์ชุมชน–สังคมวิทยา พร้อมมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจระยะสั้นและช่องทางสร้างรายได้ทางเลือก เพื่อลดแรงกดดันที่ผลักชุมชนเข้าสู่วงจรความรุนแรง
ในเชิงจริยธรรม งานวิจัยเตือนให้เลี่ยงการใช้ความเชื่อวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือการเมือง ต่อต้านวาทกรรมหรือการกระทำที่ชวนให้ “กำจัดบุคคล” นอกกรอบกฎหมาย และเรียกร้องผู้มีสถานะสาธารณะ “รับผิดชอบต่อคำพูด” ซึ่งอาจขยายความเกลียดชังโดยไม่ตั้งใจ
สำหรับ “พุทธสันติวิธี” ผู้วิจัยชี้ว่ามิใช่เพียงการงดใช้กำลัง แต่คือกรอบปฏิบัติที่เน้น เมตตา–ปัญญา–สติ ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยเป็นกลาง (track-two diplomacy) และกิจกรรมสาธารณะร่วมกันข้ามพรมแดน เช่น โครงการศาสนา–สิ่งแวดล้อม เพื่อฟื้นความไว้วางใจระหว่างประชาชนสองฝั่ง
ดร.สำราญสรุปว่า ทางออกยั่งยืนต้องผสาน “เครื่องมือทางเทคนิคของรัฐ” กับ “พลังสังคมและวัฒนธรรม” เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่าย และยืนบนหลักสันติวิธี เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งไทย–กัมพูชาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง.
วิเคราะห์ “สงครามผี”: ย้อนรอยประวัติศาสตร์ ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา และ พุทธสันติวิธี
บทคัดย่อ
บทความนี้วิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “สงครามผี” ในบริบทเหตุการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา โดยใช้ข้อความจากโพสต์สาธารณะเป็นจุดเริ่มต้นในการพิจารณา: (1) ร่องรอยประวัติศาสตร์และปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ปัญหาชายแดนไม่ยุติ, (2) บทบาทของวาทกรรมสาธารณะและการเมืองภายในที่เร่งปะทุความขัดแย้ง, (3) ความเสี่ยงจากการตอบโต้ด้วยความรุนแรงและการเมืองเชิงวาทกรรม และ (4) แนวทางเชิงนโยบายและเชิงจริยธรรมโดยอ้างอิงหลักพุทธสันติวิธีเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน บทความสรุปข้อเสนอเชิงนโยบายที่คำนึงถึงความมั่นคงเชิงมนุษย์ (human security), การทูตระดับท้องถิ่น (track-two diplomacy) และการฟื้นสร้างความเชื่อถือร่วมกันระหว่างชุมชนสองฝั่งชายแดน
1. บทนำ
ปรากฏการณ์ “สงครามผี” ซึ่งปรากฏในสื่อสาธารณะและโซเชียลมีเดีย สะท้อนการปะทะกันของข้อมูล ความเชื่อท้องถิ่น และวาทกรรมทางการเมือง ในกรณีตัวอย่างที่นำมาวิเคราะห์ (โพสต์จากอดีตรัฐมนตรี/อดีตข้าราชการระดับสูง) เราพบองค์ประกอบที่ผสมกันระหว่างความเชื่อทางวัฒนธรรม (สายมู ความเชื่อผี), การใช้สัญลักษณ์ทางการเมือง และความตึงเครียดระหว่างรัฐ การวิเคราะห์จึงต้องข้ามมิติประวัติศาสตร์ ระดับปฏิบัติการชายแดน และกรอบจริยธรรมเชิงพุทธสันติวิธี เพื่อเสนอแนวทางการจัดการที่ลดความรุนแรงของวาทกรรมและความขัดแย้ง
2. ย้อนรอยประวัติศาสตร์ชายแดนไทย–กัมพูชา (สรุปประเด็นกว้าง)
-
มรดกอาณานิคมและเขตแดนที่คลุมเครือ: ขอบเขตและเขตอิทธิพลในพื้นที่ชายแดนได้รับอิทธิพลจากการวาดพรมแดนสมัยอาณานิคมและพัฒนาการทางกฎหมายระหว่างรัฐ ทำให้เกิดข้อพิพาทในบางพื้นที่ซึ่งมักถูกจุดชนวนในช่วงวิกฤตการเมืองหรือเศรษฐกิจ
-
ผลกระทบต่อชุมชนชายแดน: ชีวิตประจำวันของประชาชนชายแดนถูกกำหนดด้วยการสัญจรข้ามแดน การค้า การเกษตร และความสัมพันธ์เชื้อสาย—ข้อพิพาทชายแดนจึงไม่ใช่เรื่องของรัฐแต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงเชิงมนุษย์ของชุมชน
-
โครงสร้างอำนาจและการทูต: กระบวนการทางการทูต เช่น การเจรจา MOU กรรมาธิการร่วม (Joint Boundary Committees / RBC/GBC) มักต้องใช้เวลานานและถูกมองขาดความโปร่งใสเมื่อเทียบกับความคาดหวังของประชาชนท้องถิ่น
ข้อสำคัญ: ปัญหาที่เป็นโครงสร้างทำให้การตัดสินใจฉับพลันหรือการใช้มาตรการกดดันทางการเมืองมักไม่ได้ผลระยะยาว หากไม่แก้ที่สาเหตุเชิงโครงสร้าง
3. วาทกรรม “สงครามผี” — การอ่านเชิงสังคมวิทยาและการเมือง
-
ลักษณะวาทกรรม: คำว่า “สงครามผี” ทำหน้าที่เป็นเมตาฟอร์า (metaphor) ที่รวมเอาองค์ประกอบของความเชื่อพื้นถิ่น (ผี แสง เสียง) กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ (โดรน) และคำพูดเชิงเร้าระดมทางการเมือง (ข้อต่อการปฏิบัติการ)
-
ผลต่อสาธารณะ: วาทกรรมเช่นนี้สามารถเร่งสร้างความกลัวหรือความโกรธในชุมชน ทั้งยังเปิดโอกาสให้มีการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นทางการหรือการตอบโต้อย่างเกรี้ยวกราดจากกลุ่มต่าง ๆ
-
การเมืองภายในและการเลือกตั้ง: ในบริบทที่ใกล้การเลือกตั้ง วาทกรรมดังกล่าวอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง—ทั้งเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม ช่วยให้เกิดการเคลื่อนย้ายประชากรเชิงคะแนนเสียง หรือเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้มาตรการแข็งกร้าว
4. ประเด็นเชิงปฏิบัติการ: MOU, GBC/RBC และ “การแก้ปัญหาเชิงรุก”
-
บทบาทของข้อตกลงและคณะร่วม: ข้อตกลงระดับราชการ (เช่น MOU) และคณะกรรมการชายแดนร่วม (Joint Boundary Committees) เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารและแก้ปัญหาชายแดน แต่ประสิทธิผลขึ้นกับความชัดเจนของขอบเขต อำนาจหน้าที่ และความโปร่งใสของการปฏิบัติ
-
ความคาดหวังของประชาชน vs ความเป็นจริงทางเทคนิค: ประชาชนต้องการการแก้ไขฉับพลัน (เช่น ปิดด่าน หรือลดกิจกรรมบางประเภท) แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มีผลทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ซับซ้อน—ต้องมีการประเมินต้นทุนและประโยชน์อย่างรอบด้าน
-
ความเสี่ยงในแนวทาง “กำจัดบุคคล” หรือ “ขับไล่ผู้นำ”: แม้จะมีการเรียกร้องให้ “เปลี่ยนตัวผู้นำ” หรือใช้มาตรการแรง ๆ แต่การส่งเสริมหรือสนับสนุนแนวทางที่ละเลยหลักนิติรัฐและหันไปทางการยึดอำนาจนอาจนำไปสู่การลุกลามของความรุนแรงและภาวะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเสื่อมเสีย
5. พุทธสันติวิธี: หลักการและการประยุกต์ในบริบทชายแดน
พุทธสันติวิธี ไม่ได้หมายถึงเพียงการงดใช้ความรุนแรงเท่านั้น แต่รวมถึงชุดหลักการปฏิบัติที่สามารถนำมาใช้จัดการข้อขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน เช่น
-
เมตตา (mettā) และความเห็นใจ: ยอมรับความเจ็บปวดของผู้อื่นเป็นจริง (ทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา) เพื่อลดการโหมกระพือความเกลียดชัง
-
ปัญญา (paññā): การวิเคราะห์เชิงลึกถึงสาเหตุเชิงโครงสร้าง ไม่ยึดติดกับคำอธิบายเชิงง่าย เช่น โทษมาจากคนเดียว แต่ตรวจสอบมิติทางประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคมร่วมด้วย
-
สติและการไกล่เกลี่ย: ส่งเสริมกระบวนการไกล่เกลี่ยที่เป็นกลาง มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่นและผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก (track-two) เข้าถึงความจริงของเหตุการณ์และฟื้นฟูความเชื่อถือ
-
การบำเพ็ญสาธารณะร่วมกัน (communal merit-making): การส่งเสริมกิจกรรมร่วมข้ามพรมแดนที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและศาสนา เช่น พิธีร่วมทางศาสนา โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์เชิงบวก
6. ข้อเสนอเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ
-
เร่งกระบวนการทูตเชิงท้องถิ่นและความโปร่งใสของ MOU: เปิดเผยสาระสำคัญของข้อตกลงต่อสาธารณะ ปรับกระบวนการให้ประชาชนชายแดนมีส่วนร่วมในการเจรจาและติดตามผล
-
เสริมความสามารถของคณะปฏิบัติการชายแดน (RBC/GBC) ด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน: เพิ่มที่ปรึกษากฎหมายสิทธิมนุษยชน นักเศรษฐศาสตร์ชุมชน และนักสังคมวิทยาเพื่อประเมินผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม
-
บรรเทาผลกระทบต่อชุมชน: จัดกลไกเยียวยาทางเศรษฐกิจระยะสั้น (compensation, income support) และโครงการสร้างรายได้ทางเลือก เพื่อไม่ให้ความตึงเครียดกลายเป็นปัจจัยบีบให้ชุมชนหันไปสนับสนุนความรุนแรง
-
สร้างพื้นที่สื่อสารระหว่างชุมชน: สนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษาในพื้นที่ชายแดนเพื่อทลายอคติ และลดการรับข่าวสารผิดพลาดหรือข่าวลวง (disinformation)
-
ยกระดับกลไกไกล่เกลี่ยโดยใช้หลักพุทธสันติวิธี: จัดเวทีสาธารณะที่ผสมผสานผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน นักวิชาการ และตัวแทนรัฐ เพื่อสร้างข้อตกลงทางสังคม (social compact) ที่ยอมรับร่วมกันได้
7. ข้อพิจารณาทางจริยธรรมและข้อควรระวัง
-
การไม่ให้การเมืองใช้ความเชื่อทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือ: การอ้าง “ผี” หรือประเพณีทางจิตวิญญาณ ควรหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบทางการเมืองหรือกระตุ้นความหวาดกลัว
-
การต่อต้านการเรียกร้องความรุนแรง: ไม่ว่าการเรียกร้องใดที่ชวนให้ “กำจัด” บุคคลใดบุคคลหนึ่งด้วยความรุนแรง ต้องถูกปฏิเสธในเชิงหลักการและกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องผ่านกระบวนการชอบด้วยกฎหมายและสันติวิธี
-
การระวังคำพูดของผู้นำ: ข้อความจากบุคคลมีสถานะ อาจสะท้อนและขยายความตึงเครียดในสังคม จึงต้องรับผิดชอบต่อถ้อยคำและการกระทำ
8. บทสรุป
ปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาและปรากฏการณ์ “สงครามผี” สะท้อนปัญหาที่ซับซ้อนทั้งเชิงประวัติศาสตร์ สังคม และการเมือง การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต้องผสมผสานมิติทางเทคนิค (ข้อตกลงชายแดน กระบวนการทางกฎหมาย) กับมิติทางสังคม–วัฒนธรรม (ฟื้นฟูความเชื่อถือระหว่างชุมชน) และต้องยึดหลักการไม่ใช้ความรุนแรง การคดโกงข้อมูล หรือการสร้างความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือทางการเมือง พุทธสันติวิธีเสนอกรอบการปฏิบัติที่เน้นเมตตา ปัญญา และการไกล่เกลี่ย ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การลดความขัดแย้งและสร้างความร่วมมือข้ามพรมแดนได้จริงในระยะยาว

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น