เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 – กรุงเทพฯ ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการวิเคราะห์เชิงวิชาการร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถึง “ความเป็นธรรม” ในคณะกรรมการศาสนาเพื่อสิทธิมนุษยชน (Faith for Rights) สังกัดสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN–OHCHR) โดยย้ำว่าการประชุม Faith for Rights ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ ถือเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ เมื่อคำว่า “ธรรมะ (Dhamma)” ถูกบรรจุในเอกสารอย่างเป็นทางการของยูเอ็นเป็นครั้งแรก
ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า โครงสร้างของคณะกรรมการยังมี “ความไม่สมดุลเชิงศาสนา” โดยขาดตัวแทนจากศาสนาพุทธและศาสนาเอเชีย แม้โครงการ Faith for Rights จะมีเป้าหมายส่งเสริมสิทธิมนุษยชนผ่านความศรัทธา แต่การดำเนินการยังคงสะท้อนอคติทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เน้นมุมมองตะวันตกเป็นหลัก
พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ผู้นำฝ่ายพุทธได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สิทธิมนุษยชนไม่อาจตั้งอยู่บนตัวบทกฎหมายเพียงอย่างเดียว หากต้องมีศีลธรรมและเมตตาเป็นรากฐาน” พร้อมเสนอให้ยูเอ็นสร้างสมดุลทางศาสนาในเชิงโครงสร้าง และเปิดพื้นที่ให้ศาสนาเอเชียเข้ามามีบทบาทอย่างเท่าเทียม
แถลงการณ์กรุงเทพฯ ว่าด้วย “ศรัทธา ธรรมะ และสิทธิมนุษยชน” จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเวทีโลกในการเชื่อมโยงสิทธิมนุษยชนเชิงกฎหมายกับสิทธิมนุษยชนเชิงจิตวิญญาณ สะท้อนความพยายามของโลกตะวันออกในการสร้าง “วาทกรรมใหม่” ของความยุติธรรมที่ตั้งอยู่บนหลักธรรมาธิปไตย — ศีล ปัญญา และเมตตา
ดร.สำราญเสนอให้ยูเอ็นจัดตั้งโควตาศาสนาเอเชียในคณะกรรมการ Faith for Rights และให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางศาสนาเพื่อสิทธิ” แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขับเคลื่อนบทบาทเชิงนโยบายต่อสหประชาชาติ
“เมื่อเวทีศาสนาและสหประชาชาติยังขาดความเป็นธรรมแล้ว มนุษยชาติจะหาความเป็นธรรมได้จากที่ไหน” ดร.สำราญกล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าคิด
บทความวิชาการ
เรื่อง: วิเคราะห์ความเป็นธรรมในคณะกรรมการศาสนาเพื่อสิทธิมนุษยชนในสังกัดสหประชาชาติ
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์ความเป็นธรรม (Justice and Fairness) ในโครงสร้างและแนวปฏิบัติของ “คณะกรรมการศาสนาเพื่อสิทธิมนุษยชน” (Faith for Rights) ภายใต้สังกัดสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN–OHCHR) โดยอาศัยกรณีศึกษา “การประชุม Faith for Rights ครั้งที่ 6” จัดขึ้นเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ (UNCC) กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คำว่า “ธรรมะ (Dhamma)” ได้รับการบรรจุในเอกสารสากลของสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ การศึกษานี้ใช้กรอบแนวคิด “ความยุติธรรมเชิงศาสนา” (Religious Justice) และ “สิทธิมนุษยชนเชิงจิตวิญญาณ” (Spiritual Human Rights) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างอำนาจทางศาสนาในเวทีโลก และเสนอแนวทางปรับสมดุลให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างศาสนาในระดับสากล
1. บทนำ
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหประชาชาติให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยง “ศรัทธา” และ “สิทธิมนุษยชน” ภายใต้โครงการ Faith for Rights เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างศาสนา อย่างไรก็ตาม เสียงสะท้อนจากผู้นำศาสนาพุทธและเอเชียได้ชี้ให้เห็นถึง “ความไม่สมดุล” ในการเป็นตัวแทนศาสนาในคณะกรรมการดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ยังถูกครอบงำโดยมุมมองตะวันตกและศาสนาเอกเทวนิยม
กรณีการเสวนา Faith for Rights ครั้งที่ 6 ในประเทศไทย จึงเป็นกรณีศึกษาเชิงนโยบายสำคัญที่สะท้อนความพยายามของฝ่ายพุทธศาสนาในการทวงคืนความเป็นธรรมทางวัฒนธรรมและศาสนาในเวทีสิทธิมนุษยชนโลก
2. กรอบแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
-
แนวคิดความเป็นธรรมเชิงศาสนา (Religious Justice):
หมายถึงการยอมรับและให้พื้นที่อย่างเท่าเทียมแก่ศาสนาทุกระบบความเชื่อในเวทีสาธารณะ โดยไม่ผูกขาดสิทธิในการตีความ “ศีลธรรม” อยู่เพียงบางศาสนา -
แนวคิดสิทธิมนุษยชนเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Human Rights):
คือการขยายกรอบสิทธิมนุษยชนจากเพียง “สิทธิทางกฎหมาย” ไปสู่ “สิทธิทางจิตวิญญาณ” ที่ยอมรับศักดิ์ศรีของมนุษย์ในฐานะสัตว์ที่มีศรัทธาและความหมายทางชีวิต -
แนวคิดธรรมาธิปไตย (Dhammocracy):
แนวคิดนี้เสนอว่าความยุติธรรมในสังคมโลกต้องตั้งอยู่บนหลัก “ศีล ปัญญา และเมตตา” ซึ่งเป็นหลักธรรมที่มิได้จำกัดอยู่เฉพาะศาสนาพุทธ หากเป็นคุณค่าสากลของมนุษยชาติ
3. การประชุม Faith for Rights ครั้งที่ 6 : กรณีศึกษา
การประชุมจัดโดย UN–OHCHR ร่วมกับสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 (BGVI) และภาคีเครือข่าย โดยมีผู้นำศาสนาและองค์กรสิทธิมนุษยชนจากทั่วโลกเข้าร่วม จุดเด่นของการประชุมครั้งนี้คือการเสนอ “แถลงการณ์กรุงเทพฯ ว่าด้วยศรัทธา ธรรมะ และสิทธิมนุษยชน” ซึ่งได้บรรจุคำว่า Dhamma ลงในเอกสารอย่างเป็นทางการของยูเอ็นเป็นครั้งแรก ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับ “ธรรมะ” จากคำในบริบทศาสนาพุทธสู่ “ถ้อยคำสากล” ที่แทนคุณค่าความดีงามของมนุษย์ทุกศาสนา
ทั้งนี้ พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ (อนิลมาน ธมฺมสากิโย) ได้ตั้งข้อสังเกตอย่างตรงไปตรงมาว่า คณะกรรมการ Faith for Rights ยังขาดตัวแทนจากศาสนาฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ซึ่งสะท้อนความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างในระดับนานาชาติ
4. การวิเคราะห์ “ความเป็นธรรม” ของคณะกรรมการศาสนาเพื่อสิทธิมนุษยชน
4.1 ความไม่สมดุลทางศาสนาในเชิงโครงสร้าง
คณะกรรมการ Faith for Rights มีสมาชิกหลักจากศาสนาในยุโรปและตะวันออกกลาง เช่น คริสต์และอิสลาม แต่กลับขาดตัวแทนจากพุทธ ศาสนาเต๋า หรือฮินดู ซึ่งเป็นศาสนาที่มีผู้คนนับถือจำนวนมากในเอเชีย การขาดตัวแทนนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาด้าน “การเป็นตัวแทน” (Representation) แต่ยังสะท้อน “อคติทางภูมิรัฐศาสตร์” (Geopolitical Bias) ขององค์กรระหว่างประเทศ
4.2 ความเป็นธรรมเชิงเนื้อหา
แนวทางการอภิปรายเรื่องสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นมักยึดกรอบคิดแบบกฎหมายตะวันตกเป็นหลัก พระพรหมศากยวงศ์วิสุทธิ์ได้ชี้ว่า “สิทธิ” ควรถูกมองจากมิติของ “หัวใจและเมตตา” มิใช่เพียงตัวบทกฎหมาย เพราะ “คนเกิดก่อนกฎหมาย” จึงต้องให้ศีลธรรมเป็นรากฐานของสิทธิมนุษยชน
4.3 การขยายมิติสิทธิมนุษยชนสู่จิตวิญญาณ
แถลงการณ์กรุงเทพฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนในการผลักดันให้ “ธรรมะ” เป็นกลไกกลางในการเชื่อมโยงศาสนา สิทธิ และมนุษยธรรม โดยไม่ผูกพันกับระบบความเชื่อใด การบรรจุคำนี้ในเอกสารยูเอ็นสะท้อนความพยายามของโลกตะวันออกในการสร้าง “วาทกรรมใหม่” ของสิทธิมนุษยชนเชิงจิตวิญญาณ
5. ข้อเสนอเชิงนโยบาย
- สร้างโควตาศาสนาเอเชียในคณะกรรมการ Faith for Rights เพื่อให้การเป็นตัวแทนศาสนามีความสมดุลมากขึ้น
- บูรณาการหลักธรรมะสู่แนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนสากล โดยเน้นคุณค่าของเมตตา ปัญญา และความรับผิดชอบ
- ส่งเสริมการวิจัยเชิงเปรียบเทียบระหว่างธรรมะกับสิทธิมนุษยชน เพื่อพัฒนาแนวคิดสิทธิมนุษยชนเชิงพุทธ (Buddhist Human Rights)
- ยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง “ศาสนาเพื่อสิทธิ” แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขับเคลื่อนบทบาทเชิงนโยบายต่อยูเอ็น
6. สรุป
การวิเคราะห์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นธรรมในคณะกรรมการศาสนาเพื่อสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นยังมีข้อจำกัดในเชิงโครงสร้างและเนื้อหา โดยเฉพาะการขาดตัวแทนจากศาสนาพุทธและศาสนาเอเชีย อย่างไรก็ดี การประชุม Faith for Rights ครั้งที่ 6 ที่ประเทศไทย เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสมดุลทางศาสนาในเวทีสิทธิมนุษยชนโลก และเป็นบทพิสูจน์ว่า “ธรรมะ” สามารถก้าวข้ามพรมแดนศาสนา กลายเป็นถ้อยคำสากลเพื่อความยุติธรรมของมนุษยชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น