เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพุทธสันติศึกษา ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ทางวิชาการเรื่อง “แนวทางการส่งเสริมชุดไทยบนเวทีโลก” (Analysis on Promoting Thai Traditional Dress on the Global Stage) โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องเร่งสร้างกลไกปกป้องและส่งเสริม “ชุดไทย” ในยุคดิจิทัล หลังพบว่าขณะนี้มีการเผยแพร่ข้อมูลผิดพลาดในโลกออนไลน์ว่า “ชุดไทย” คือ “ชุดแต่งงานของกัมพูชา” ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาติไทยในระยะยาว
ดร.สำราญ ระบุว่า “ชุดไทย” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความงดงามและภูมิปัญญาของชาติไทยที่สะท้อนศิลปวัฒนธรรมอันประณีตของบรรพบุรุษ แต่ในยุคที่เทคโนโลยีและฐานข้อมูลออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลเหนือการรับรู้ของผู้คนทั่วโลก ข้อมูลที่บิดเบือนเกี่ยวกับชุดไทยกำลังกลายเป็น “ภัยเงียบทางวัฒนธรรม” ซึ่งอาจทำให้โลกเข้าใจผิดและกลืนกลายอัตลักษณ์ไทยไปอย่างช้า ๆ
นักวิชาการด้านพุทธสันติศึกษากล่าวว่า ปัญหาการระบุข้อมูลผิดพลาดในสื่อดิจิทัล เช่น Pinterest, TikTok, Instagram หรือแพลตฟอร์มสร้างภาพด้วย AI สะท้อนถึงการขาดการจัดการข้อมูลทางวัฒนธรรมที่เป็นระบบในประเทศไทย โดยเสนอให้ กระทรวงวัฒนธรรมเร่งจัดตั้งฐานข้อมูลดิจิทัลของชุดไทย (Thai Dress Digital Archive) เพื่อบันทึกข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับรูปแบบ ประวัติศาสตร์ และเอกลักษณ์ของชุดไทยในหลายภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน พร้อมเปิดเป็นฐานข้อมูลสาธารณะให้ทั่วโลกเข้าถึงได้
ดร.สำราญ ยังเสนอแนวทางเพิ่มเติมว่า ควรมีการพัฒนา “Prompt Library” หรือคลังคำสั่งสร้างสื่อชุดไทยด้วย AI เพื่อให้ผู้ใช้แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง ChatGPT, Gemini, Midjourney หรือ DALL·E สามารถสร้างภาพและวิดีโอที่สะท้อนความงามของชุดไทยได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนอกจากจะช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในระดับโลกแล้ว ยังเป็นโอกาสสร้างรายได้ใหม่ในรูปแบบ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)”
นอกจากนี้ ดร.สำราญ ยังเสนอให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการ แคมเปญประชาสัมพันธ์ระดับนานาชาติ เพื่อผลักดันให้คำว่า “Thai Dress”, “Chud Thai” หรือ “Thai National Costume” ถูกบันทึกในฐานข้อมูลของระบบ AI ทั่วโลกอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งเร่งผลักดันให้ “ชุดไทย” ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยต่อองค์การยูเนสโก (UNESCO) เพื่อยืนยันสิทธิ์และต้นกำเนิดทางวัฒนธรรมของชาติ
ในส่วนของแนวทางเชิงนโยบาย ดร.สำราญเสนอให้จัดตั้ง ศูนย์ข้อมูลดิจิทัลวัฒนธรรมไทย (Thai Cultural Digital Center) เพื่อทำหน้าที่รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และผู้พัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อให้ข้อมูลวัฒนธรรมไทยถูกรวมอยู่ในฐานข้อมูลระดับโลก นอกจากนี้ยังควรส่งเสริมให้เยาวชนและนักออกแบบรุ่นใหม่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ชุดไทยในรูปแบบร่วมสมัย เพื่อสืบทอดและปรับใช้ในบริบทปัจจุบัน
ดร.สำราญ สรุปว่า “ชุดไทยไม่ใช่เพียงเครื่องแต่งกาย แต่คือรากเหง้าและศักดิ์ศรีของชาติ การส่งเสริมชุดไทยบนเวทีโลกต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างเทคโนโลยี วัฒนธรรม และนโยบายรัฐ เพื่อปกป้องอัตลักษณ์ไทยจากการบิดเบือน และสร้างพลัง Soft Power ที่แท้จริงบนเวทีโลก”
วิเคราะห์แนวทางการส่งเสริมชุดไทยบนเวทีโลก
(Analysis on Promoting Thai Traditional Dress on the Global Stage)
บทนำ
“ชุดไทย” ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สะท้อนอัตลักษณ์ ความงดงาม และภูมิปัญญาของชาติไทยมาอย่างยาวนาน การออกแบบ ลวดลาย และวิธีการแต่งกายล้วนแสดงถึงรากเหง้าทางศิลปวัฒนธรรมอันละเอียดอ่อนที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทั่วโลก อัตลักษณ์ของชาติไทยกลับเผชิญกับความเสี่ยงจาก “การบิดเบือนข้อมูล” โดยเฉพาะในกรณีของ “ชุดไทย” ที่เริ่มถูกระบุผิดในสื่อดิจิทัลว่าเป็น “ชุดแต่งงานของกัมพูชา (Khmer Wedding Dress)” ซึ่งกำลังกลายเป็นภาพจำในระบบข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระดับโลก
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสะท้อนถึงความท้าทายด้าน “Soft Power” ของไทย แต่ยังตอกย้ำถึงความจำเป็นที่หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะ กระทรวงวัฒนธรรม ต้องเร่งวางยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อปกป้องและส่งเสริมอัตลักษณ์ไทยในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และฐานข้อมูลโลกาภิวัตน์
1. ปัญหาและบริบทของการบิดเบือนอัตลักษณ์ชุดไทยในโลกดิจิทัล
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โลกออนไลน์ โดยเฉพาะสื่อสังคมและฐานข้อมูลภาพ เช่น Pinterest, TikTok, Instagram รวมถึงแพลตฟอร์มสร้างภาพด้วย AI มีแนวโน้มระบุข้อมูลผิดพลาดว่า “ชุดไทยประยุกต์” เป็น “Khmer Wedding Dress” หรือ “Traditional Cambodian Costume” ซึ่งสะท้อนปัญหาการขาดฐานข้อมูลทางวัฒนธรรมของไทยที่ชัดเจนในระบบดิจิทัล
ดังที่ เบสท์ วงศ์ไพโรจน์กุล รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ได้ออกมาแสดงความกังวลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ว่า “ข้อมูลดิจิทัลกำลังเขียนประวัติศาสตร์แทนมนุษย์” และหากรัฐยังนิ่งเฉย วันหนึ่งโลกอาจไม่จดจำได้ว่าชุดไทยคือของชาติใด ซึ่งเป็นภัยเงียบทางวัฒนธรรมที่บ่อนทำลายศักดิ์ศรีของชาติอย่างต่อเนื่อง
2. การวิเคราะห์แนวทางการส่งเสริมและปกป้องอัตลักษณ์ชุดไทยในเวทีโลก
2.1 การสร้างฐานข้อมูลวัฒนธรรมไทยในระบบดิจิทัล
กระทรวงวัฒนธรรมควรจัดทำ ฐานข้อมูลชุดไทย (Thai Dress Digital Archive) ที่บรรจุข้อมูลด้านรูปแบบ ประวัติศาสตร์ ลักษณะเฉพาะ และคำอธิบายที่ถูกต้องในหลายภาษา (เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน) เพื่อให้สามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ในระดับสากล พร้อมทั้งเปิดเป็นฐานข้อมูลเปิด (Open Cultural Data) ให้ประชาชน นักวิจัย และสื่อออนไลน์ทั่วโลกสามารถอ้างอิงได้
2.2 การบูรณาการเทคโนโลยี AI และคำสั่งสร้างสื่อ (Prompt Library)
ควรมีการพัฒนา Prompt หรือคำสั่งสร้างภาพ/วิดีโอของชุดไทย สำหรับใช้ในแพลตฟอร์มยอดนิยม เช่น ChatGPT, Gemini, Midjourney หรือ DALL·E เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกสามารถสร้างสื่อที่แสดงอัตลักษณ์ไทยได้ถูกต้องและสวยงาม การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงาน จะช่วยขยายการรับรู้และต่อยอดเป็น “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)” ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ
2.3 การสื่อสารและประชาสัมพันธ์ระดับนานาชาติ
ควรดำเนินการ แคมเปญระดับโลก เพื่อส่งเสริมคำว่า “Thai Dress”, “Chud Thai” หรือ “Thai National Costume” ให้เป็นคำที่ถูกต้องในระบบ AI และฐานข้อมูลออนไลน์ พร้อมสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ชุดไทยเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามร่วมสมัย ผ่านสื่อแฟชั่น ภาพยนตร์ และศิลปะร่วมสมัย
2.4 การผลักดันการขึ้นทะเบียนชุดไทยเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของยูเนสโก (UNESCO)
การขึ้นทะเบียน “ชุดไทย” เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติไทย จะช่วยยืนยันสิทธิ์ในระดับสากล และป้องกันการแอบอ้างจากต่างชาติ ขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสในการยกระดับ Soft Power ของไทยในเวทีโลกให้ทัดเทียมกับวัฒนธรรมชาติอื่น
3. แนวทางเชิงนโยบายและข้อเสนอแนะ
-
กระทรวงวัฒนธรรมควรจัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลดิจิทัลวัฒนธรรมไทย (Thai Cultural Digital Center)” เพื่อรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ
-
สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคเอกชน มหาวิทยาลัย และผู้พัฒนา AI เพื่อให้ข้อมูลวัฒนธรรมไทยถูกรวมเข้าในฐานข้อมูลระดับโลก
-
สนับสนุนให้เยาวชนและนักออกแบบรุ่นใหม่สร้างสรรค์ผลงานเกี่ยวกับชุดไทยในรูปแบบสมัยใหม่ เพื่อให้เกิดการสืบสานและปรับใช้ได้ในบริบทปัจจุบัน
-
จัดทำหลักสูตรออนไลน์และนิทรรศการเสมือนจริง (Virtual Exhibition) เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประวัติและความหมายของชุดไทยให้ทั่วโลกเข้าถึง
สรุป
“ชุดไทย” ไม่ใช่เพียงเครื่องแต่งกาย หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทยที่สะท้อนรากเหง้า ศิลปะ และภูมิปัญญาของชาติ การส่งเสริมชุดไทยในเวทีโลก จึงต้องอาศัยกลไกทั้งทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และนโยบายสาธารณะที่บูรณาการร่วมกัน เพื่อปกป้องอัตลักษณ์ไทยไม่ให้ถูกกลืนหายไปในโลกดิจิทัล การสร้างฐานข้อมูลทางวัฒนธรรม และการใช้ AI อย่างมีทิศทาง คือแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้ “ชุดไทย” ก้าวสู่เวทีโลกอย่างสง่างาม และยั่งยืนบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นไทย

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น