วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" ร่วมกับเอไอวิเคราะห์ปรัชญาหันเฟยจื่อกับระบบราชการไทยยุค 2568


เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568  
ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดศรีสะเกษ ปี 2535 พรรคเกษตรเสรี และปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์เชิงวิชาการเรื่อง “วิเคราะห์ปรัชญาหันเฟยจื่อในบริบทข้าราชการไทยปี 2568” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการประยุกต์แนวคิดปรัชญาการปกครองของ “หันเฟยจื่อ” (Han Fei Zi) นักคิดสำคัญแห่งลัทธินิตินิยมจีนโบราณ กับระบบราชการไทยภายใต้บริบทของการบริหารราชการยุคดิจิทัล

ดร.สำราญ ระบุว่า การศึกษาครั้งนี้มุ่งวิเคราะห์ “ความสอดคล้องและความแตกต่าง” ระหว่างแนวคิดการปกครองของหันเฟยจื่อ — ที่เน้นระบบกฎหมายเข้มงวด การควบคุมด้วยรางวัล–โทษ และการจำกัดอำนาจส่วนบุคคลของขุนนาง — กับระบบราชการไทยในปี 2568 ซึ่งกำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของรัฐ และแรงกดดันจากสังคมประชาธิปไตยที่เรียกร้องความโปร่งใสและความรับผิดชอบ

ผลการวิเคราะห์พบว่า แนวคิดของหันเฟยจื่อยังมีความสอดคล้องกับ หลักธรรมาภิบาลของราชการไทย ในบางด้าน โดยเฉพาะในเรื่อง “ความรับผิดชอบต่อหน้าที่” และ “ความเที่ยงธรรมในการบังคับใช้กฎหมาย” ซึ่งสะท้อนผ่านการใช้ระบบประเมินผล (KPI) และระบบดิจิทัลติดตามการใช้งบประมาณ อย่างไรก็ตาม ดร.สำราญเตือนว่า หากนำแนวคิดนิตินิยมมาใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน อาจก่อให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจและลดทอนจิตสำนึกคุณธรรมของข้าราชการไทย

ในรายงานดังกล่าวยังแบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. แนวคิดหลักของหันเฟยจื่อ
    ประกอบด้วย “法 (ฝ่า)” กฎหมายที่เข้มงวดและเท่าเทียม, “術 (ซู่)” เทคนิคการควบคุมของผู้นำ และ “勢 (ซื่อ)” อำนาจของตำแหน่ง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการปกครองรัฐให้มั่นคง

  2. การบริหารราชการด้วยกฎหมายและระบบ
    พบว่าระบบราชการไทยปี 2568 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มความโปร่งใส เช่น Open Data และระบบติดตามงบประมาณออนไลน์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “法” ของหันเฟยจื่อ แต่ยังต้องพัฒนาให้ยืดหยุ่นและตอบสนองประชาชนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

  3. ระบบรางวัล–ลงโทษในราชการไทย
    แม้มีการใช้ตัวชี้วัดผลการทำงานเพื่อกำหนดรางวัลและบทลงโทษตามแนว “賞罰 (ซ่างฝ่า)” แต่ยังมีข้อจำกัดจากวัฒนธรรมอุปถัมภ์และอิทธิพลส่วนบุคคล ทำให้ยังไม่บรรลุผลอย่างเต็มที่

  4. การจำกัดอำนาจของผู้บริหารและความรับผิดชอบ
    แนวคิด “勢” ของหันเฟยจื่อเสนอให้ใช้อำนาจตามตำแหน่ง ไม่ตามบุญคุณหรือศีลธรรมส่วนตัว ซึ่งสอดคล้องกับหลักความรับผิดชอบในธรรมาภิบาลของไทย แต่ระบบราชการไทยยังคงเผชิญกับปัญหาการรวมศูนย์อำนาจในระดับนโยบาย

ข้อเสนอแนะสำคัญ จากบทความคือ

  • ควรนำหลัก “法” มาปรับใช้กับระบบดิจิทัลราชการ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความโปร่งใสและอัตโนมัติ

  • พัฒนาระบบรางวัล–ลงโทษบนพื้นฐานข้อมูลจริง

  • เสริมสร้าง “คุณธรรมในระบบ” เพื่อให้ข้าราชการมีจิตสำนึกตามกฎหมายและจริยธรรมควบคู่กัน

บทความดังกล่าวได้รับการอ้างอิงจากงานศึกษาทางปรัชญาและรัฐศาสตร์หลายชิ้น เช่น The Complete Works of Han Fei Zi (2003), A History of Chinese Philosophy โดย Fung Yu-Lan (1952) และงานวิจัยไทยร่วมสมัยจากนักวิชาการอย่าง ธีรยุทธ บุญมี, ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ และนครินทร์ เมฆไตรรัตน์

ดร.สำราญกล่าวทิ้งท้ายว่า

“ระบบราชการไทยในอนาคตต้องกล้าปรับตัวให้กฎหมายและคุณธรรมเดินไปพร้อมกัน เพราะหากขาดสมดุลระหว่างระบบกับมนุษยธรรม การบริหารจะกลายเป็นเครื่องจักรที่ไร้หัวใจ”

วิเคราะห์ปรัชญาหันเฟยจื่อในบริบทข้าราชการไทยปี 2568

บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิดปรัชญาการปกครองของ “หันเฟยจื่อ” (Han Fei Zi) นักคิดสำคัญในลัทธินิตินิยมของจีนโบราณ และศึกษาความสอดคล้องหรือความแตกต่างกับระบบราชการไทยในปี พ.ศ. 2568 ที่อยู่ภายใต้บริบทการบริหารราชการแผ่นดินยุคดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของรัฐ และความคาดหวังใหม่จากสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ ผลการวิเคราะห์พบว่า ปรัชญาหันเฟยจื่อที่เน้น “กฎหมายเข้มงวด ระบบรางวัล–ลงโทษที่ชัดเจน และการจำกัดอำนาจส่วนบุคคลของขุนนาง” ยังคงมีความสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลในราชการไทยบางประการ โดยเฉพาะด้าน “ความรับผิดชอบ” และ “ความเที่ยงธรรม” อย่างไรก็ตาม หากนำมาปรับใช้โดยไม่คำนึงถึงบริบทประชาธิปไตยและค่านิยมสิทธิมนุษยชน อาจก่อให้เกิดการรวมศูนย์อำนาจและลดทอนจิตสำนึกทางคุณธรรมของข้าราชการได้


1. บทนำ

“หันเฟยจื่อ” (韓非子, Han Fei Zi) เป็นนักปรัชญาแห่งยุคจ้านกว๋อ (Warring States Period) ของจีน ผู้เป็นตัวแทนสำคัญของลัทธินิตินิยม (Legalism) ซึ่งมองว่ารัฐควรถูกปกครองด้วย กฎหมายที่เข้มงวด (法, ฝ่า) มากกว่าคุณธรรมของผู้นำ ปรัชญานี้มุ่งสร้างความมั่นคงให้แก่รัฐโดยการใช้ระบบกฎหมาย รางวัล และโทษ (賞罰, ซ่างฝ่า) เพื่อควบคุมข้าราชการและประชาชนให้ปฏิบัติตามระเบียบอย่างมีประสิทธิภาพ

ในบริบทของสังคมไทย พ.ศ. 2568 ระบบราชการกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งการปฏิรูประบบราชการเพื่อความโปร่งใส การปรับตัวต่อเทคโนโลยีดิจิทัล และการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนที่เน้นความยุติธรรมและประสิทธิผล การนำปรัชญาหันเฟยจื่อมาวิเคราะห์จึงช่วยให้เข้าใจแนวคิดการบริหารที่เน้น “ระบบมากกว่าคน” และสามารถชี้ให้เห็นข้อจำกัดของการใช้อำนาจในราชการยุคใหม่


2. แนวคิดหลักของปรัชญาหันเฟยจื่อ

หันเฟยจื่อเสนอหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. 法 (ฝ่า) – กฎหมาย
    ต้องมีความชัดเจน เข้มงวด และใช้บังคับเท่าเทียมกัน เพื่อควบคุมพฤติกรรมของข้าราชการและประชาชนโดยไม่ยึดอารมณ์หรือคุณธรรมของผู้ปกครองเป็นหลัก

  2. 術 (ซู่) – เทคนิคการปกครอง
    ผู้นำต้องมี “กลยุทธ์ในการควบคุม” โดยไม่เปิดเผยความคิด เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวงจากขุนนางหรือผู้ใต้บังคับบัญชา

  3. 勢 (ซื่อ) – อำนาจ
    การปกครองที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจของตำแหน่ง มากกว่าความดีส่วนตัวของผู้ปกครอง

หันเฟยจื่อจึงเน้นว่า ระบบกฎหมายและกลไกการควบคุมคือหัวใจของรัฐที่มั่นคง มากกว่าความเมตตาหรือศีลธรรมของผู้นำ


3. การวิเคราะห์ในบริบทข้าราชการไทย ปี 2568

3.1 การบริหารราชการด้วย “กฎหมายและระบบ”

ในปี 2568 ระบบราชการไทยยังคงใช้หลักกฎหมายเป็นกรอบสำคัญของการบริหาร โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยเพิ่มความโปร่งใส เช่น ระบบข้อมูลเปิด (Open Data) และระบบติดตามการใช้งบประมาณออนไลน์ ซึ่งสะท้อนแนวคิด “法 (ฝ่า)” ของหันเฟยจื่อที่ให้ความสำคัญกับกฎหมายมากกว่าตัวบุคคล

อย่างไรก็ตาม การตีความกฎหมายแบบเคร่งครัดโดยไม่ยืดหยุ่นอาจทำให้ระบบราชการขาดความคิดสร้างสรรค์ และไม่สามารถตอบสนองประชาชนในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็วได้

3.2 ระบบรางวัล–ลงโทษกับการบริหารบุคคล

แนวคิด “賞罰 (ซ่างฝ่า)” ของหันเฟยจื่อสะท้อนในระบบประเมินผลข้าราชการไทยที่ใช้ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน (KPI) เพื่อกำหนดรางวัลและบทลงโทษ การใช้กลไกเชิงระบบช่วยลดอคติในการตัดสิน แต่ในทางปฏิบัติ ระบบราชการไทยยังมีปัญหาความไม่เท่าเทียมและวัฒนธรรมอุปถัมภ์ ทำให้แนวคิดนี้ยังไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างเต็มที่

3.3 การจำกัดอำนาจและความรับผิดชอบของผู้บริหาร

หันเฟยจื่อเสนอให้ผู้นำใช้อำนาจตาม “ตำแหน่ง” มิใช่ตาม “บุญคุณ” หรือ “ศีลธรรมส่วนตัว” เพื่อป้องกันการคอร์รัปชัน แนวคิดนี้สะท้อนถึงหลักธรรมาภิบาลของไทยในด้าน “ความรับผิดชอบต่อหน้าที่” (Accountability) แต่ในบริบทไทยปี 2568 ยังมีข้อจำกัดจากโครงสร้างการรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดการตัดสินใจเชิงนโยบายโดยไม่เปิดโอกาสให้ข้าราชการระดับปฏิบัติการมีส่วนร่วม


4. สรุปและข้อเสนอแนะ

ปรัชญาหันเฟยจื่อเสนอแนวทางการบริหารที่เน้น “ระบบและกฎหมาย” มากกว่า “คุณธรรมส่วนบุคคล” ซึ่งในหลายแง่มุมสอดคล้องกับความพยายามของไทยในการสร้างระบบราชการที่มีมาตรฐาน โปร่งใส และตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม การนำแนวคิดนี้มาใช้ในบริบทไทยต้องปรับให้สมดุลกับหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และจริยธรรมของข้าราชการ

ข้อเสนอแนะ คือ

  1. ควรนำแนวคิด “法” มาปรับใช้กับระบบดิจิทัลราชการ เพื่อสร้างกลไกการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใสและอัตโนมัติ

  2. พัฒนา “ระบบรางวัล–ลงโทษ” ที่ยึดข้อมูลจริงมากกว่าอิทธิพลส่วนบุคคล

  3. เสริมสร้าง “คุณธรรมในระบบ” (Systemic Morality) เพื่อให้ข้าราชการตระหนักในหน้าที่ตามกฎหมายและจริยธรรมควบคู่กัน


บรรณานุกรม (เบื้องต้น)

  • Han Fei Zi. (2003). The Complete Works of Han Fei Zi. Beijing: Foreign Language Press.

  • Fung, Y.-L. (1952). A History of Chinese Philosophy, Vol. 2. Princeton University Press.

  • ธีรยุทธ บุญมี. (2566). รัฐราชการไทยในยุคดิจิทัล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

  • ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์. (2567). การบริหารภาครัฐและหลักธรรมาภิบาล. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง.

  • นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. (2565). การเมืองกับระบบราชการไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...