วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ดร.สำราญ–AI ร่วมวิเคราะห์ “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” เปิดแนวคิดใหม่สู่แผนที่จิตวิญญาณแห่งสันติภาพ

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี และอดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี เปิดเผยผลการศึกษาร่วมกับ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์แนวคิด “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” (The Concept of the Triangular Layered Buddhist Peace Consensus) ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโมเดล “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติทางศาสนา” ที่เกิดขึ้นจากการจาริกแสวงบุญของนิสิตสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบลในอินเดีย–เนปาล ภายใต้การนำของพระมหาหรรษา ธัมมหาโส

ดร.สำราญกล่าวว่า งานวิเคราะห์ครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” มิได้เป็นเพียงกรอบเชิงโครงสร้างทางหลักธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็น “กระบวนทัศน์แห่งพุทธสันติวิธี (Buddhist Peace Paradigm)” ที่บูรณาการ ศรัทธา–ปัญญา–ภาวนา อย่างเป็นองค์รวม สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความขัดแย้งและพัฒนา “สันติภายใน” ของมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


จากศีล สมาธิ ปัญญา สู่สามเหลี่ยมซ้อนสามเหลี่ยม

แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักธรรม 3 ชั้น คือ
ศีล–สมาธิ–ปัญญา, อุดมการณ์–หลักการ–วิธีการ, และ กาย–วาจา–ใจ
ซึ่งสัมพันธ์กันในลักษณะ “สามเหลี่ยมซ้อนสามเหลี่ยม” หมายถึงการพัฒนาจากภายนอกสู่ภายใน และจากปัจเจกสู่ส่วนรวม โดยเชื่อมโยงพื้นที่ “สุวรรณภูมิ–พุทธภูมิ–สันติภูมิ” จากภูมิศาสตร์สู่จิตวิญญาณ

การจาริกแสวงบุญสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ได้แก่ พุทธคยา ราชคฤห์ สารนาถ และกุสินารา จึงเป็นการเรียนรู้เชิงสันติภาคสนาม เพื่อถอดบทเรียนทาง “พุทธสันติวิธี” ในเชิงปฏิบัติ


พุทธคยา–สารนาถ–กุสินารา: สัญลักษณ์สามเหลี่ยมแห่งสันติ

  • พุทธคยา ถูกเปรียบเป็น “สามเหลี่ยมศรัทธา” ที่รวมพลังแห่งศรัทธา สมาธิ และปัญญา สู่หนทางแห่งสันติภาพ

  • ราชคฤห์ สะท้อน “สามเหลี่ยมยุทธศาสตร์ธรรม” ที่ผสานอุดมการณ์ หลักการ และวิธีการในการจัดการความขัดแย้ง

  • สารนาถ คือ “สามเหลี่ยมแห่งปัญญาเชิงสันติ” ผ่านหลักมัชฌิมาปฏิปทา นำไปสู่การปล่อยวางอัตตาและความสงบภายใน

  • กุสินารา เป็น “สามเหลี่ยมแห่งการคืนสู่ความสงบ” ที่รวมธรรม เมตตา และปัญญาเข้าด้วยกัน

  • ส่วน ลุมพินี ประเทศเนปาล สะท้อน “สามเหลี่ยมแห่งปัจจัยชีวิต” อันประกอบด้วยธรรมชาติ มนุษย์ และจิตวิญญาณ


สู่โมเดลสหสัมพันธ์ 3 ชั้นแห่งสันติภาพ

การวิเคราะห์เชิงสันติศึกษาพบว่า “สามเหลี่ยมเชิงซ้อน” เป็น โมเดลสหสัมพันธ์ (Interrelated Triangular Model) ที่ประกอบด้วย 3 มิติหลัก ได้แก่

  1. มิติภายนอก (External Layer): ใช้ศรัทธาและพิธีกรรมเป็นพลังสร้างความสามัคคี

  2. มิติภายใน (Internal Layer): ภาวนาและการรู้เท่าทันตนเองนำไปสู่สันติภายใน

  3. มิติข้ามศาสนา (Transreligious Layer): ยอมรับและเข้าใจความแตกต่างด้วยเมตตาและปัญญา

ทั้งสามมิติสัมพันธ์กันแบบ “ซ้อนและเสริม” (Interlocking Harmony) ก่อให้เกิด “มติพุทธสันติวิธี” ที่ยั่งยืน และสามารถเป็นทางออกของความขัดแย้งเชิงจิตวิญญาณในยุคโลกาภิวัตน์


ข้อเสนอเพื่อสันติศึกษาในอนาคต

ดร.สำราญเสนอให้

  • ส่งเสริมการบูรณาการ หลักสูตรสันติศึกษา เข้ากับการปฏิบัติธรรมเชิงจิตวิญญาณ

  • สนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างศาสนา เพื่อสร้าง “มติร่วมทางสันติ

  • พัฒนาหลักสูตร “ลมหายใจแห่งสันติ” สำหรับผู้นำศาสนาและนักสันติภาพ

  • ผลักดันแนวคิด “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” เป็นกรอบการสอนและการวิจัยระดับนานาชาติ


บทสรุป

แนวคิด “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” จึงเป็นทั้ง กรอบคิดทางพุทธสันติศึกษา และ แผนที่จิตวิญญาณแห่งสันติภาพ ที่นำพามนุษย์จาก “ศรัทธา → ปัญญา → การอยู่ร่วมอย่างเข้าใจในความแตกต่าง” อันเป็นหัวใจของพุทธสันติวิธีในศตวรรษที่ 21

แนวคิดสามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี (The Concept of the Triangular Layered Buddhist Peace Consensus)

ผู้เขียน: ดร.สำราญ สมพงษ์

สังกัด: นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี


บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ “แนวคิดสามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” ซึ่งเป็นการขยายผลจากโมเดล “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติทางศาสนา” ที่เกิดขึ้นจากการจาริกแสวงบุญของนิสิตหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ณ สังเวชนียสถาน ๔ ตำบลในประเทศอินเดีย–เนปาล ภายใต้การนำของพระมหาหรรษา ธัมมหาโส การศึกษาได้สะท้อนว่าแนวคิดดังกล่าวมิใช่เพียงกรอบเชิงโครงสร้างของหลักธรรม ๓ ส่วน แต่เป็น “กระบวนทัศน์แห่งพุทธสันติวิธี” (Buddhist Peace Paradigm) ที่บูรณาการมิติศรัทธา ปัญญา และการภาวนาอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการความขัดแย้งและพัฒนา “สันติภายใน” ของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน

คำสำคัญ: พุทธสันติวิธี, สามเหลี่ยมเชิงซ้อน, มติทางศาสนา, สันติศึกษา


บทนำ

แนวคิด “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” (Triangular Layered Buddhist Peace Consensus Model) มีรากฐานจากการตีความหลักธรรมในพุทธศาสนาในเชิงโครงสร้างสามชั้น ได้แก่

  • ศีล–สมาธิ–ปัญญา

  • อุดมการณ์–หลักการ–วิธีการ

  • กาย–วาจา–ใจ

ทั้งสามชั้นสัมพันธ์กันในลักษณะ “สามเหลี่ยมซ้อนสามเหลี่ยม” ซึ่งสะท้อนกระบวนการพัฒนาจากภายนอกสู่ภายใน และจากปัจเจกสู่ส่วนรวม บนฐานของการเชื่อมโยง “สุวรรณภูมิ–พุทธภูมิ–สันติภูมิ” ซึ่งเป็นการเดินทางจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ สู่พื้นที่ทางจิตวิญญาณ

การจาริกแสวงบุญสังเวชนียสถาน ๔ ตำบลของนิสิตปริญญาโทสันติศึกษาในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จึงเป็นการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการทางสันติวิธี เพื่อถอดบทเรียน “พุทธสันติวิธี” ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการความขัดแย้งและพัฒนา “ภูมิสันติภายใน” ให้เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล


แนวคิดสามเหลี่ยมเชิงซ้อนในบริบทสังเวชนียสถาน

๑. พุทธคยา: สามเหลี่ยมแห่งศรัทธาและสมาธิ

พุทธคยาเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มีองค์ประกอบสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ต้นโพธิ์–แท่นวัชรอาสน์–พระพุทธเมตตา ซึ่งเปรียบเสมือน “สามเหลี่ยมสื่อธรรม” เชื่อมโยงศรัทธา ปัญญา และสมาธิเข้าด้วยกัน

การเวียนเทียนรอบเจดีย์ ๓ รอบเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมใจ แม้ผู้แสวงบุญจะมาจากต่างชาติ ต่างภาษา แต่กลับร่วมสวดมนต์โดยไม่เกิดความขัดแย้ง อันสะท้อน “มติพุทธสันติวิธี” ที่เกิดจากการมีเป้าหมายร่วมคือการเข้าถึงความสงบภายใน

ดังนั้น พุทธคยาจึงเป็น “สามเหลี่ยมศรัทธา” ที่รวมพลังแห่งสัจจะ ศรัทธา และปัญญาให้กลายเป็นหนทางแห่งสันติภาพ


๒. ราชคฤห์: สามเหลี่ยมแห่งยุทธศาสตร์ธรรม

เมืองราชคฤห์เป็นสถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งประกอบด้วย

  • อุดมการณ์ ๔

  • หลักการ ๓

  • วิธีการ ๓

เมื่อรวมกันจึงเป็น “สามเหลี่ยมซ้อนสามเหลี่ยม” ที่สะท้อนระบบคิดเชิงยุทธศาสตร์ของพระพุทธเจ้าในการจัดการความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอก

อุดมการณ์เป็นยอดสามเหลี่ยม หลักการคือแนวทาง และวิธีการคือฐานรากของการปฏิบัติ แสดงถึงความสัมพันธ์แบบองค์รวมของ “พุทธสันติวิธี” ที่มุ่งสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีเหตุผลและมีเมตตา


๓. สารนาถ: สามเหลี่ยมแห่งปัญญาเชิงสันติ

ณ ธัมเมกสถูป เมืองสารนาถ พระพุทธเจ้าทรงแสดง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วางหลักทางสายกลางระหว่าง
กามสุขัลลิกานุโยค – อัตตกิลมถานุโยค – มัชฌิมาปฏิปทา

โครงสร้างนี้คือ “สามเหลี่ยมแห่งมรรคแปด” ประกอบด้วย ศีล–สมาธิ–ปัญญา ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธสันติวิธีในเชิงภาวนา การเข้าถึงปัญญาในที่นี้มิได้หมายถึงความรู้ทางทฤษฎีเท่านั้น แต่คือ “การเห็นตามความจริง” (ยถาภูตญาณทัสสนะ) ที่ทำให้เกิดการปล่อยวางอัตตา และยุติความขัดแย้งในใจตนเอง


๔. กุสินารา: สามเหลี่ยมแห่งการคืนสู่ความสงบ

พระพุทธเจ้าทรงเลือกปรินิพพานที่เมืองกุสินาราโดยมีเหตุผล ๓ ประการคือ
๑) แสดงมหาสุทัสสนสูตร,
๒) โปรดสาวกรูปสุดท้าย,
๓) ให้โทณพราหมณ์เป็นผู้แก้ไขข้อขัดแย้งในการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ

เหตุทั้งสามสะท้อนหลัก “ธรรม–เมตตา–ปัญญา” ซึ่งเป็นสามเหลี่ยมแห่งการคืนสู่สันติ เป็นแบบอย่างของการยุติความขัดแย้งด้วยการประสานเหตุปัจจัยทางจิตใจและสังคม


๕. ลุมพินี: สามเหลี่ยมแห่งปัจจัยชีวิตและจิตวิญญาณ

สวนลุมพินี ประเทศเนปาล เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า มีองค์ประกอบของการเกิดอัจฉริยะ ๓ ประการ คือ
๑) สิ่งแวดล้อมดี,
๒) ภูมิศาสตร์ดี,
๓) พันธุ์ดี

หลักนี้สะท้อน “สามเหลี่ยมแห่งปัจจัยชีวิต” ที่ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ธรรมชาติ–มนุษย์–จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นฐานของการสร้าง “มนุษย์เพื่อผู้อื่น” (Human for Others) อันเป็นแก่นของพุทธสันติวิธี


ลมหายใจแห่งสันติภาพ: ฐานรากของสามเหลี่ยมภายใน

พระเทพโพธิวิเทศ หัวหน้าพระธรรมทูตสายอินเดีย–เนปาล ได้ให้ข้อคิดสำคัญว่า

“โง่อย่างปราชญ์ดีกว่าฉลาดอย่างโจร... นักสันติภาพต้องฟัง ต้องหายใจ ต้องรู้จักวางใจ”

คำสอนนี้สะท้อน “สามเหลี่ยมแห่งสติ” คือ

  • สติ (รู้หายใจ)

  • สมาธิ (ตั้งมั่น)

  • ปัญญา (รู้วาง)

ซึ่งเป็นฐานรากของ “พุทธสันติวิธีภายใน” (Inner Buddhist Peace Practice) ที่นำไปสู่ความสงบและเมตตาอย่างแท้จริง


การวิเคราะห์เชิงแนวคิด “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี”

การวิเคราะห์เชิงสันติศึกษาเผยให้เห็นว่า “สามเหลี่ยมเชิงซ้อน” เป็น “โมเดลสหสัมพันธ์” (Interrelated Triangular Model) ที่ประกอบด้วย ๓ มิติสำคัญคือ

  1. มิติภายนอก (External Layer): ศรัทธาและพิธีกรรมเป็นเครื่องมือสร้างความสามัคคีและลดความแตกแยกในสังคม

  2. มิติภายใน (Internal Layer): การภาวนาและการรู้เท่าทันตนเองนำไปสู่สันติภายใน

  3. มิติข้ามศาสนา (Transreligious Layer): การยอมรับ เคารพ และเข้าใจความแตกต่างด้วยเมตตาและปัญญา

ทั้งสามมิติสัมพันธ์กันแบบ “ซ้อนและเสริม” (Interlocking Harmony) ก่อให้เกิด “มติพุทธสันติวิธี” ที่ยั่งยืน และเป็นทางออกของความขัดแย้งเชิงจิตวิญญาณในยุคโลกาภิวัตน์


บทสรุป

แนวคิด “สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” เป็นกรอบคิดทางพุทธสันติศึกษาที่ผสานประสบการณ์ภาคสนามกับหลักธรรมเชิงโครงสร้าง นำไปสู่ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับ “สันติภาพเชิงจิตวิญญาณ” ซึ่งมิได้เกิดจากการหลีกหนีความขัดแย้ง แต่จากการเข้าใจ เห็น และอยู่ร่วมกับมันอย่างมีเมตตาและปัญญา

กล่าวได้ว่า “สามเหลี่ยมเชิงซ้อน” คือแผนที่จิตวิญญาณของการพัฒนา ที่เชื่อมโยงศรัทธา ปัญญา และการปฏิบัติ ให้เป็นเอกภาพแห่งสันติภาพ


ข้อเสนอแนะ

  1. ส่งเสริมการบูรณาการหลักสูตรสันติศึกษาเข้ากับการปฏิบัติธรรมเชิงจิตวิญญาณ

  2. สนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างศาสนา เพื่อสร้างมติร่วมทางสันติ

  3. พัฒนาหลักสูตรฝึก “ลมหายใจแห่งสันติ” สำหรับผู้นำทางศาสนาและนักสันติภาพ

  4. ผลักดันแนวคิดสามเหลี่ยมเชิงซ้อนให้เป็นกรอบการสอนและการวิจัยด้านพุทธสันติวิธีในระดับนานาชาติ


สรุปโดยย่อ

“สามเหลี่ยมเชิงซ้อนมติพุทธสันติวิธี” มิใช่เพียงโครงสร้างทางธรรม
แต่เป็น “แผนที่จิตวิญญาณแห่งสันติภาพ”
ที่นำพามนุษย์จากศรัทธา → สู่ปัญญา → สู่การอยู่ร่วมอย่างเข้าใจในความแตกต่าง

สันติภาพ ณ พุทธภูมิในทัศนะหัวหน้าพระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล : ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง/ภาพ สำราญ สมพงษ์ ขณะเป็นนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร. พ.ค.2558 

          การเดินทางไปแสวงบุญสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปริญญาโทสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ขณะนี้เปิดการเรียนการสอนเป็นรุ่นที่ ๒ แล้ว และระหว่างวันที่ ๑๐-๑๙ มีนาคมที่ผ่านมา พระมหาหรรษา ธัมมหาโส ผู้ช่วยอธิการบดี มจร.ฝ่ายวิชาการ ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ได้นำนิสิตรุ่นที่ ๒  จำนวน ๓๑ รูป/คน เดินทางไปแสวงบุญภายใต้โครงการจาริกแสวงบุญแดนพุทธภูมิตามรอยสันติภาพ ทั้งนี้เพื่อถอดบทเรียนค้นหารหัสไขพุทธสันติวิธีนำไปปรับใช้บริหารจัดการความขัดแย้งของสังคม

          พระมหาหรรษาได้กล่าวถึงเป้าหมายที่นำนิสิตสันติศึกษาตามรอยนักสันติภาพโลกแดนพุทธภูมิครั้งนี้ว่า การเดินทางมาของนิสิตจากแดนสุวรรณภูมิมาสู่แดนพุทธภูมิได้กราบไหว้สังเวชนียสถานซึ่งเป็นแดนพุทธภูมิซึ่งเป็นส่วนภายนอกแล้ว ยังมีเป้าหมายให้นิสิตสันติศึกษาได้เข้าถึงพุทธภูมิภายในอันได้แก่สันติภูมิคือเกิดสันติภายในสัมผัสความเป็นผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน  เท่ากับว่านิสิตได้เข้าถึงภูมิทั้ง ๓ ภูมิคือสุวรรณภูมิ พุทธภูมิ และสันติภูมิ

          การแสวงบุญสังเวชนียสถาน ๔ ตำบลที่ประเทศอินเดียนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มต้นที่เจดีย์พุทธคยาตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเมืองราชคฤห์ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ได้ทำกิจกรรมคือไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นนั่งสมาธิเจริญจิตภาวนาฟังบรรยายธรรมที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่สัมพันธ์กับเนื้อหาหลักสูตรสันติศึกษาการแก้ปัญหาความขัดแย้งจากพระธรรมทูตและพระมหาหรรษา โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับหลักธรรมที่มีองค์ประกอบ ๓ ส่วนและแยกย่อยออกเป็น ๓ ส่วน ทำให้สามารถถอดรหัสเป็นโมเดล "สามเหลี่ยมเชิงซ้อน" บริหารจัดการความขัดแย้งดังนี้

          จุดแรกที่เจดีย์พุทธคยากิจกรรมที่ผู้แสวงบุญกระทำคือเดินเวียนเทียนพร้อมสวดอิติปิโสรอบเจดีย์ ๓ รอบ เป็นการรำลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย แม้บรรยากาศรอบเจดีย์พุทธคยามีเสียงจากการสวดมนต์ที่ต่างคนต่างสวด แต่ก็ไม่มีความขัดแย้งกันสามารถเข้าถึงพุทธภูมิเกิดสันติภูมิภายในได้ตามอัตภาพ เนื่องจากมีจุดมุ่งหมายเหมือนกันคือเข้าถึงพุทธภูมิภายในใจ และที่เจดีย์พุทธคยาแห่งนี้ที่มีสิ่งสำคัญ ๓ ประการคือต้นโพธิ์ แท่นวัชรอาสน์ และหลวงพ่อพุทธเมตตาเป็นสื่อ

          ที่เมืองราชคฤห์แห่งนี้คณะนิสิตได้ทราบยุทธศาสตร์ ๓ ประการในการประกาศพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ประกอบด้วยอุดมการณ์ ๔ หลักการ ๓ และวิธีการ ๓ ซึ่งก็คือสามเหลี่ยมเชิงซ้อนกันอยู่จึงเป็นวิธีการ ๖ ที่พระพุทธเจ้าประทานในวันมาฆบูชาที่เวฬุวนารามสวนไผ่  

          จุดที่ ๒ คือ ธัมเมกสถูปที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันเมืองสารนาถ หรือเมืองพาราณสีแคว้นกาสี สถานที่แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแก่ปัจญวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งมีเนื้อหาประกอบด้วยทาง ๓ ทาง คือกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยคและมัชฌิมาปฏิปทาง ก็คือสามเหลี่ยมแห่งมรรคแปดคือศีล สมาธิ และปัญญานั่นเอง

          จุดที่ ๓ เมืองกุสินาราสังเวชนียสถานปรินิพพาน ได้ทราบสาเหตุที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานที่แห่งนี้ ๓ ประการคือ ๑. ทรงประสงค์แสดงมหาสุทัสสนสูตรความสำคัญของเมืองแห่งนี้ ๒.โปรดสาวกรูปสุดท้าย และ ๓.ทรงเห็นว่าโทณพราหมณ์จะสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งในการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุได้

          จุดที่ ๔ สวนลุมพินีประเทศเนปาล ซึ่งเป็นที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ โดยยูเนสโกสร้างคบเพลิงไฟสันติภาพและจุดตั้งแต่ ค.ศ.1986 เป็นต้นมา เพื่อเป็นการยกย่องมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดมาทำประโยชน์ให้บุคคลอื่นตลอดพระชนม์ชีพ และได้ทราบองค์ประกอบของการเกิดบุคคลอัจฉริยะ ๓ ประการคือ ๑.สิ่งแวดล้อมดีอายุคนอยู่ในช่วง ๑๐๐ ปี ๒.ภูมิศาสตร์ดี และ ๓.พันธุ์ดีคือผู้ที่ปรารถนาเป็นพุทธมารดามาเกิด ซึ่งเป็นข้อคิดสำหรับผู้เป็นแม่คือควรเลี้ยงลูกให้เติบโตให้เป็นคนทำประโยชน์กับคนอื่น ส่วนจุดที่ ๕ คือวัดเชตวันมหาวิหารเมืองสาวัตถี

ลมหายใจแห่งสันติภาพ

          ขณะที่พักอยู่ที่เจดีย์พุทธคยาตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเมืองราชคฤห์นั้น คณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร.ได้มีโอกาสเข้ากราบรับความรู้เกี่ยวกับหลักของนักสันติภาพจากพระเทพโพธิวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา หัวหน้าพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล โดยท่านได้เตือนสติว่า "โง่อย่างปราชญ์ดีกว่าฉลาดอย่างโจร โง่ๆ แล้วโตเร็วก็โง่ไป สันติภาพโง่ๆ เป็นผู้นำได้ต้องฟังผู้ตาม คนอยากฟังคน คนอยากฟังกัน นี่คือการสร้างสันติภาพ หากไม่ฟังกันจะไปสู่สันติภาพได้ยาก"

          ทำไมถึงต้องมาเรียนพระพุทธศาสนา เพราะเรามีเชื้อพระอรหันต์ มีดีเอ็นเอพระอรหันต์ เพราะพระพุทธเจ้าตั้งบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก แล้วนำลูกไปมอบไว้ในใบเกิดว่านับถือศาสนาพุทธแล้วสะสมสัมมาทิฐิ ถึงจะเป็นชาวพุทธหยุดๆ ยืนๆ เพราะยังมีกังขาคติ ๓ คือ

          ๑.พุทธกังขาคติ สงสัยพุทธเจ้า เกิดมาแล้วเดินได้ ๗ ก้าวจริงหรือ? แค่นี้ก็พบทางตันแล้ว บุคคลที่เชื่อมั่นผู้นำนั่นคือ นักสันติภาพ ใครแสวงหาสันติธรรมจะเข้าถึงวิมุตติ

          ๒.ธรรมกังขาคติ สงสัยในคำสอนของพระศาสดา จึงขอให้เราปฏิบัติเถอะจะหายสงสัยในธรรมะที่ตรัสรู้มา คือ นำธรรมะไปจัดการ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราไม่สามารถดูแลสิ่งเหล่านี้ก็ยากจะไปถึงสันติภาพ โลกจะสับสนวุ่นวายอย่างไร แต่ถ้าสามารถจัดการได้ ท่านจะเป็นใหญ่คือมีสันติภาพ ธรรมะต้องนำไปใช้ถ้าไม่นำไปใช้ก็จะเป็นคน "เป็นคนใช้ไม่ได้" ต้องฝึกวิธีการใช้ "ลมหายใจ" ไม่มีศาสดาใดเป็นห่วงเราขนาดสอนให้เราหายใจเข้าและหายใจออกเป็น คนบางคนหายใจไม่เป็นแล้วจะไปทำอะไรเป็น พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนสติปัฏฐานสูตรฝึกให้หายใจเป็น ใครจะเป็นนักสันติภาพต้องฝึกหายใจและรับลมหายใจ มาครั้งนี้มารับลมพระอริยสาวกเจ้า จึงเรียกว่าเป็นคนมี "ลับลมคมใน"

          ที่วางใจคือ หน้า เอาหัวใจมาไว้ที่หน้า จึงเป็นเป็นบุคคล "ที่หน้าไว้วางใจ" ดังนั้นจึงอย่าให้ความเบื่อขึ้นหน้า เพราะ "มันหน้าเบื่อ" โดยต้องมีหลักธรรม อย่าเสียหลักทำตัวทำร้ายกัน เพราะอะไรเพราะมันน่าเบื่อทำให้ไม่เกิดสันติภาพ แม้แต่คนนอนเตียงเดียวกัน ถ้าเบื่อกันเป็นอย่างไร ดังนั้นอย่าเบื่อหน่ายเข้าหาธรรม

          คนอินเดียเข้าถึงธรรมง่ายกว่าประเทศอื่นๆ เพราะคนอินเดียรู้จักการแสดงการยอมรับกัน เคารพกัน ยกย่องกัน อินเดียยกมือได้ทุกอย่างที่ให้คุณทั้ง น้ำ ดวง และวัว ถือเป็นเทพเจ้า ดังนั้นถ้าเป็นนักสันติภาพแล้วต้องรู้จักการยอมรับกัน ถ้าหาสิ่งที่เคารพไม่ได้ก็จะเกิดสันติภาพไม่ได้

          ๓.สังฆกังขาคติ สงสัยในพระสงฆ์ เราต้องมีพรรคพวก สิ่งสำคัญคือ พวก เพราะพรรคสามารถยุบได้ สรุปเรามีความสงสัยจึงไม่สนใจศึกษาจริงจัง

คนไทยรู้จักแต่ไม่รู้ใจคนอินเดีย 

          พร้อมกันนี้คณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร.ยังได้เข้าพบนายชลิต มานิตยกุล เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐอินเดีย ที่สำนักงานชั่วคราวเมืองนิวเดลี และได้รับคำชี้แจงไขข้อข้องใจต่างๆ โดยเฉพาะด้านการคมนาคมที่สุขุมลุ่มลึกว่า เนื่องจากรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นเป็นคนละพรรคกัน ประกอบกับเมืองพุทธคยาเป็นรัฐที่ยากจนมากที่สุด

         อย่างไรก็ตามนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดียคนปัจจุบันเล็งเห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาปากท้อง และมีแผนพัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมโยงแต่ละหัวเมือง เชื่อว่าจะดีขึ้นตามลำดับ จึงส่งผลให้ได้รับคะแนนนิยมสูงอยู่ในขณะนี้

         "คนไทยไม่รู้จักใครเลย พยายามจะไปข่มคนอื่นด้วย เรารู้จักแต่ไม่รู้ใจคนอินเดีย บางคนบอกว่าอินเดียเหมือนไทยถึงจะมา ถ้าเช่นนั้นก็อยู่แต่ไทย คนอินเดียไปเที่ยวไทยเป็นล้านคน ช่วงนี้ตกลงมาเพราะคนไทยขัดขากันเอง ไทยมีทัศนคติต่ออินเดียลบถึง 70% แต่นั่นหมายถึง 30 ปีที่แล้ว เพราะ "เรารู้จักแต่ไม่รู้ใจ" คนอินเดีย ดังนั้นเราต้องรู้ใจคนอินเดีย และสิ่งที่ต้องการจากพระธรรมทูตไทยในประเทศอินเดียคือเอกภาพในการทำงานเผยแพร่พระพุทธศาสนา"  https://www.komchadluek.net/amulet/205578

The Concept of the Triangular Layered Buddhist Peace Consensus

Author: Samran Sompong
Affiliation: Independent Scholar in Buddhist Peace Studies


Abstract

This article aims to analyze the concept of the “Triangular Layered Buddhist Peace Consensus,” which extends from the model of the “Triangular Layered Religious Consensus” developed through the field experience of graduate students in Peace Studies at Mahachulalongkornrajavidyalaya University (MCU) during their pilgrimage to the Four Buddhist Holy Sites in India and Nepal under the guidance of Phra Maha Hansa Dhammahaso.

The study reveals that this concept is not merely a structural framework of the threefold Buddhist principles but represents a “Buddhist Peace Paradigm” that integrates faith (saddhā), wisdom (paññā), and meditation (bhāvanā) into a holistic system. It provides an applicable model for conflict management and the cultivation of inner peace in the modern world.

Keywords: Buddhist Peace Method, Triangular Layered Model, Religious Consensus, Peace Studies


Introduction

The concept of the “Triangular Layered Buddhist Peace Consensus” (Triangular Layered Buddhist Peace Consensus Model) is grounded in the interpretation of Buddhist teachings structured in three interrelated layers:

  • Sīla – Samādhi – Paññā (Morality – Concentration – Wisdom)

  • Ideology – Principles – Methods

  • Body – Speech – Mind

These three layers interconnect in a “triangle within a triangle” configuration, representing a process of development from the external to the internal, and from the individual to the collective. This process symbolically links the notions of Suvarnabhumi – Buddhabhumi – Santibhumi (the land of prosperity – the land of enlightenment – the land of peace), signifying a spiritual journey from geographical space to inner space.

The pilgrimage to the Four Holy Sites (Bodh Gaya, Rajgir, Sarnath, and Kusinara) by the MCU Peace Studies students in 2015 was thus not only an act of faith but also a peace-learning journey, aimed at decoding the principles of Buddhist Peace Methods and cultivating inner peace through experiential learning.


The Triangular Layered Concept in the Context of the Four Holy Sites

1. Bodh Gaya: The Triangle of Faith and Concentration

Bodh Gaya, the site of the Buddha’s enlightenment, embodies three symbolic elements: the Bodhi Tree, the Vajrāsana Throne, and the Great Buddha Statue. Together, they form a “Triangle of Dhamma Transmission” uniting faith, wisdom, and concentration.

Pilgrims circumambulating the Mahabodhi Stupa three times represent the unity of mind and intention. Despite linguistic and cultural differences, they chant harmoniously without conflict—an embodiment of the Buddhist Peace Consensus through shared aspiration for inner calm.

Thus, Bodh Gaya stands as the “Triangle of Faith,” where truth, devotion, and insight merge into the pathway of peace.


2. Rajgir: The Triangle of Dharmic Strategy

Rajgir is where the Buddha delivered the Ovādapātimokkha—a teaching structured around:

  • Four Ideals,

  • Three Principles, and

  • Three Methods.

These interlocking sets form a “triangle within a triangle,” revealing the Buddha’s strategic system for addressing inner and outer conflicts.

The ideals represent the apex, the principles form the structure, and the methods provide the operational base. Together, they manifest an integrated model of Buddhist Peace Strategy aimed at harmonious coexistence through wisdom and compassion.


3. Sarnath: The Triangle of Peaceful Wisdom

At the Dhamek Stupa in Sarnath, the Buddha expounded the Dhammacakkappavattana Sutta, introducing the Middle Path between:

  • Kāmasukhallikānuyoga (self-indulgence),

  • Attakilamathānuyoga (self-mortification), and

  • Majjhimāpaṭipadā (the Middle Way).

This structure corresponds to the Triangle of the Noble Eightfold Path—Sīla, Samādhi, and Paññā—representing the meditative foundation of the Buddhist peace process.

Here, paññā (wisdom) signifies more than theoretical knowledge; it is “seeing things as they truly are” (yathābhūtañāṇadassana), leading to the dissolution of ego and the cessation of internal conflict.


4. Kusinara: The Triangle of Returning to Peace

The Buddha’s Parinirvana in Kusinara occurred for three reasons:

  1. To deliver the Mahāsudassana Sutta,

  2. To give final instruction to his last disciple, and

  3. To allow Doṇa Brahmin to resolve the conflict over the Buddha’s relics.

These reasons embody the Triangle of PeaceDhamma, Compassion, and Wisdom—illustrating the reconciliation of internal and external factors through mindful harmony and understanding.


5. Lumbini: The Triangle of Life and Spiritual Factors

Lumbini, Nepal—the Buddha’s birthplace—reveals three auspicious conditions for an enlightened birth:

  1. A conducive environment,

  2. A favorable geography, and

  3. A noble lineage.

This constitutes the “Triangle of Life Factors,” highlighting the interconnection of Nature – Humanity – Spirituality as the foundation for cultivating Humanity for Others, the core of the Buddhist Peace Method.


The Breath of Peace: The Foundation of the Inner Triangle

Phra Thep Bodhivites, Head of the Thai Monastic Mission in India–Nepal, imparted a profound teaching:

“Better to be foolish like a sage than clever like a thief... A peacebuilder must listen, breathe, and know how to let go.”

This message reflects the “Triangle of Mindfulness”:

  • Mindfulness (Knowing the Breath)

  • Concentration (Steadiness of Mind)

  • Wisdom (Letting Go)

This forms the foundation of Inner Buddhist Peace Practice, the inner path to serenity and compassion.


Conceptual Analysis: The Triangular Layered Buddhist Peace Consensus

From a Peace Studies perspective, the Triangular Layered Model represents an Interrelated Triangular System comprising three key dimensions:

  1. External Layer – Faith and rituals as instruments for unity and social cohesion.

  2. Internal Layer – Meditation and self-awareness as pathways to inner peace.

  3. Transreligious Layer – Compassionate understanding and respect for diversity beyond religious boundaries.

These layers interlock in harmonic integration (Interlocking Harmony), forming a sustainable Buddhist Peace Consensus capable of addressing both spiritual and social conflicts in the globalized era.


Conclusion

The “Triangular Layered Buddhist Peace Consensus” provides a conceptual framework in Buddhist Peace Studies that synthesizes experiential learning and doctrinal structure. It deepens the understanding of spiritual peace—not as the absence of conflict but as the ability to understand, coexist with, and transcend conflict through compassion and wisdom.

In essence, the Triangular Layered Model serves as a spiritual map of development, connecting faith, insight, and practice into a unified pathway toward peace.


Recommendations

  • Integrate Buddhist Peace Studies curricula with contemplative and spiritual practice.

  • Promote interreligious knowledge exchange to build a shared peace consensus.

  • Develop “The Breath of Peace” training programs for religious leaders and peace practitioners.

  • Advance the Triangular Layered Model as a pedagogical and research framework in international Buddhist peace discourse.


Summary

The Triangular Layered Buddhist Peace Consensus is more than a doctrinal structure—it is a spiritual map of peace, guiding humanity from faith → to wisdom → to compassionate coexistence in diversity.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...