กรุงเทพมหานคร, 30 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ ปี 2535 พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) จัดทำการวิเคราะห์เชิงนโยบายเรื่อง “วิธีพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน” เพื่อเสนอแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรยุทธศาสตร์ของชาติอย่างยั่งยืนและโปร่งใส
การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า “แร่แรร์เอิร์ธ” (Rare Earth Elements: REE) เป็นทรัพยากรสำคัญของโลกยุคดิจิทัล ซึ่งใช้ในการผลิตเทคโนโลยีตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สมาร์ตโฟน ไปจนถึงระบบอาวุธและดาวเทียม การครอบครองห่วงโซ่อุปทานของแร่ชนิดนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระดับโลก
ประเทศไทยกับศักยภาพใหม่ของ “น้ำมันยุคดิจิทัล”
จากข้อมูลของกรมทรัพยากรธรณี พบว่า ประเทศไทยมีแหล่งแร่แรร์เอิร์ธกระจายอยู่ในกว่า 20 จังหวัด ทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ เช่น อุตรดิตถ์ แพร่ ขอนแก่น ชัยภูมิ และภูเก็ต ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการสำรวจ ถือเป็น “โอกาสทอง” ในการออกแบบนโยบายบริหารจัดการตั้งแต่ต้นทางให้เกิดความยั่งยืนและเป็นธรรม
ดร.สำราญ ระบุว่า หากประเทศไทยยังคงขายแร่ดิบในราคาถูกให้ต่างชาติ แต่ต้องนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีที่ผลิตจากแร่นั้นในราคาสูง ประเทศจะตกอยู่ในกับดัก “ขายถูก–ซื้อแพง” และสูญเสียอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ไทยควรมุ่งสร้าง “ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain)” ที่ครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจ การแปรรูป ไปจนถึงการผลิตเทคโนโลยีปลายน้ำภายในประเทศ
บริหารแร่ด้วยธรรมาภิบาล โปร่งใส และมีส่วนร่วม
รายงานฉบับนี้เน้นว่า การพัฒนาแรร์เอิร์ธต้องตั้งอยู่บนหลัก “ธรรมาภิบาลทรัพยากร” (Resource Governance) ที่โปร่งใสและเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งในด้านการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วมตัดสินใจ และการกระจายผลประโยชน์
ข้อเสนอสำคัญ ได้แก่
-
จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และชุมชน
-
กำหนดภาษีทรัพยากรและกองทุนชุมชน เพื่อให้รายได้จากเหมืองกลับสู่ท้องถิ่น
-
กำหนดมาตรการ EIA ที่เข้มงวด พร้อมเปิดเผยข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
-
ส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการ “ให้ความยินยอมก่อนล่วงหน้าอย่างเสรีและมีข้อมูลครบถ้วน” (Free, Prior and Informed Consent)
เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยี ไม่ขายแร่ดิบ
การวิเคราะห์พบว่า แร่ดิบ 1 ตันมีมูลค่าเพียงหลักหมื่นบาท แต่หากนำไปผลิตแม่เหล็กแรงสูงหรือชิปอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านบาท การลงทุนในเทคโนโลยีถลุงและการแปรรูปจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยน “ทรัพยากรใต้ดิน” ให้กลายเป็น “ความมั่งคั่งเหนือดิน” ของประชาชน
แนวทางที่เสนอประกอบด้วย
-
การพัฒนาเทคโนโลยีแยกแร่และการถลุงในประเทศ
-
การส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น แม่เหล็ก แบตเตอรี่ และชิปอิเล็กทรอนิกส์
-
การลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมของไทยเอง
-
การพัฒนาแรงงานทักษะสูงรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด
สมดุลเศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม–สังคม สู่อนาคตที่ยั่งยืน
ดร.สำราญ ย้ำว่า “แร่แรร์เอิร์ธไม่ใช่เพียงฝุ่นจากดินที่ถูกขุด แต่คือพลังเศรษฐกิจแห่งอนาคต”
การบริหารจัดการทรัพยากรนี้ต้องสมดุลระหว่างสามมิติหลัก ได้แก่
-
เศรษฐกิจ: สร้างมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
-
สิ่งแวดล้อม: ควบคุมผลกระทบให้อยู่ในมาตรฐานสากล
-
สังคม: ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์และมีสิทธิ์ร่วมกำหนดทิศทาง
หากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันวางระบบธรรมาภิบาลทรัพยากรอย่างโปร่งใสและมองไกล ไทยอาจกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้ “แร่หายาก” เพื่อสร้าง “โอกาสใหม่ที่ยั่งยืน” แทนที่จะสร้างปัญหาแบบที่เกิดในหลายประเทศทั่วโลก
วิเคราะห์วิธีพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน
บทคัดย่อ
แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements: REE) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีบทบาทสำคัญต่อเทคโนโลยีโลกยุคใหม่ ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบอาวุธและดาวเทียม ประเทศไทยมีศักยภาพด้านทรัพยากรแรร์เอิร์ธในหลายจังหวัด แต่ยังขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบและยั่งยืน งานศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยในมิติทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ผลการวิเคราะห์เสนอว่า ประเทศไทยควรเน้นการพัฒนา “ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain)” ที่ครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจ การถลุง การแปรรูป จนถึงการผลิตเทคโนโลยีปลายน้ำ พร้อมทั้งสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนและระบบกำกับดูแลที่โปร่งใส เพื่อให้ทรัพยากรใต้ดินกลายเป็นความมั่นคงและความมั่งคั่งของคนไทยทุกคน
1. บทนำ
ในศตวรรษที่ 21 แร่แรร์เอิร์ธถูกขนานนามว่าเป็น “น้ำมันแห่งยุคดิจิทัล” เนื่องจากเป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ไปจนถึงระบบอาวุธยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ การครอบครองและควบคุมห่วงโซ่อุปทานของแร่แรร์เอิร์ธจึงมีความหมายทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลก
ประเทศไทยมีศักยภาพทางทรัพยากรแร่แรร์เอิร์ธในหลายพื้นที่ ทั้งในภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ โดยเฉพาะบริเวณที่เคยมีลานแร่ดีบุกเก่าและหินแกรนิต อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการวางแผนจัดการที่ดี ประเทศอาจตกอยู่ในสภาวะ “ขายถูก–ซื้อแพง” กล่าวคือ ขายแร่ดิบราคาถูกให้ต่างชาติ แล้วต้องนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีที่ผลิตจากแร่นั้นในราคาสูง
ดังนั้น การวิเคราะห์วิธีพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยจึงมีเป้าหมายเพื่อหากลไกบริหารจัดการที่สมดุลระหว่าง “ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” และ “สิทธิของประชาชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ”
2. ลักษณะและความสำคัญของแร่แรร์เอิร์ธ
แร่แรร์เอิร์ธ คือ กลุ่มธาตุโลหะหายาก 17 ชนิด เช่น นีโอไดเมียม (Neodymium), ลานทานัม (Lanthanum), ซีเรียม (Cerium) ซึ่งส่วนใหญ่พบในหินแกรนิตและหินภูเขาไฟ แม้จะไม่ได้หายากทางปริมาณ แต่การสกัดและแยกออกมามีความซับซ้อนและต้นทุนสูง
แร่เหล่านี้เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น
-
แม่เหล็กแรงสูงในมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า
-
ชิปอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่ลิเทียม
-
อุปกรณ์สื่อสาร ดาวเทียม และระบบอาวุธนำวิถี
ประเทศที่ควบคุมกระบวนการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธได้จึงมีอำนาจต่อรองสูงในระบบเศรษฐกิจโลก
3. ศักยภาพของประเทศไทย
กรมทรัพยากรธรณีได้สำรวจพบว่า ประเทศไทยมีแหล่งแร่แรร์เอิร์ธในอย่างน้อย 20 จังหวัด เช่น
-
ภาคเหนือ: อุตรดิตถ์ แพร่ พะเยา ลำปาง เชียงราย
-
ภาคกลาง: อุทัยธานี กาญจนบุรี เพชรบูรณ์
-
ภาคอีสาน: เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร นครพนม
-
ภาคใต้: ภูเก็ต พังงา ระนอง สุราษฎร์ธานี
พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการสำรวจ ยังไม่มีการทำเหมืองเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการกำหนด “นโยบายตั้งต้นที่ยั่งยืน” ก่อนการเปิดเหมืองในอนาคต
4. ผลกระทบและความเสี่ยงจากการพัฒนาแร่
การสกัดและแยกแร่แรร์เอิร์ธต้องใช้สารเคมีรุนแรง เช่น กรดซัลฟิวริก และมักพบกากแร่ที่มีสารกัมมันตรังสี (ธอเรียม–ยูเรเนียม) หากขาดการจัดการที่ดีอาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน ได้แก่
-
การปนเปื้อนในน้ำและดิน
-
การสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร
-
ผลกระทบทางสุขภาพ เช่น มะเร็งและโรคทางเดินหายใจ
ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีนและเมียนมา เคยเผชิญปัญหามลพิษร้ายแรงจากเหมืองแรร์เอิร์ธ ทำให้เกิดการต่อต้านจากชุมชนและต้องปิดเหมืองบางแห่ง การพัฒนาแรร์เอิร์ธในไทยจึงต้องมีมาตรการ EIA (Environmental Impact Assessment) ที่เข้มงวด และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
5. การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
การขายแร่ดิบให้ต่างประเทศสร้างรายได้เพียงเล็กน้อย ขณะที่การแปรรูปและต่อยอดในอุตสาหกรรมปลายน้ำสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลายเท่า
-
แร่ดิบ 1 ตัน มีมูลค่าหลักหมื่นบาท
-
หากใช้ผลิตแม่เหล็กหรือชิปอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าจะเพิ่มเป็นหลักล้านบาท
ดังนั้น แนวทางที่เหมาะสมคือการสร้าง ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ภายในประเทศ ได้แก่
-
การลงทุนในเทคโนโลยีถลุงและแยกแร่ (Refining Technology)
-
การจัดตั้งโรงงานผลิตแม่เหล็ก แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศ
-
การส่งเสริมวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีของไทยเอง
-
การพัฒนาแรงงานทักษะสูง (High-Skill Labor) ให้พร้อมต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด
-
การกระจายผลประโยชน์สู่ท้องถิ่น ผ่านกองทุนชุมชนและโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืน
6. การมีส่วนร่วมของประชาชนและธรรมาภิบาลทรัพยากร
เพื่อให้การพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธเกิด “ประโยชน์สูงสุดของประชาชน” ต้องมีการออกแบบระบบธรรมาภิบาล (Governance) ที่โปร่งใสและมีส่วนร่วม เช่น
-
การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเกี่ยวกับผลการสำรวจและผลกระทบ
-
การตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และชุมชน
-
การรับฟังความคิดเห็นและสิทธิในการยินยอมของประชาชน (Free, Prior and Informed Consent)
-
การกำหนด “ภาษีทรัพยากร” และ “กองทุนเพื่อชุมชน” เพื่อกระจายผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม
7. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
การพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยควรดำเนินการภายใต้กรอบ “เศรษฐกิจฐานทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable Resource Economy)” ซึ่งคำนึงถึงทั้งสามมิติ คือ
-
เศรษฐกิจ: เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ขายแร่ดิบ
-
สิ่งแวดล้อม: ป้องกันผลกระทบด้วยมาตรฐานสากล
-
สังคม: ให้ประชาชนในพื้นที่มีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจและได้รับประโยชน์จริง
ประเทศไทยอยู่ในจุดเริ่มต้นที่สามารถกำหนดทิศทางได้ถูกต้อง หากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันออกแบบระบบบริหารจัดการที่โปร่งใสและเน้นการต่อยอดทางเทคโนโลยี แร่แรร์เอิร์ธจะไม่ใช่เพียง “ฝุ่นจากดินที่ถูกขุด” แต่จะกลายเป็น “พลังเศรษฐกิจแห่งอนาคต” ของคนไทยทุกคน
เอกสารอ้างอิง
-
กรมทรัพยากรธรณี. (2567). รายงานการสำรวจแร่แรร์เอิร์ธในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
-
วารสารเทคโนโลยีธรณี. (2566). Rare Earth Elements and Global Supply Chain: Thailand’s Strategic Potential.
-
นันทวัฒน์ เมฆา. (2568). การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนรวม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
-
U.S. Geological Survey (2024). Mineral Commodity Summaries: Rare Earths.
-
European Commission. (2023). Critical Raw Materials Act. Brussels: EU Publication Office.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น