วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ดร.สำราญ” ผนึก AI วิเคราะห์แนวทางพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธไทย สู่ความมั่นคงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจเพื่อประชาชน



กรุงเทพมหานคร, 30 ตุลาคม 2568  ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ ปี 2535 พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) จัดทำการวิเคราะห์เชิงนโยบายเรื่อง “วิธีพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน” เพื่อเสนอแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรยุทธศาสตร์ของชาติอย่างยั่งยืนและโปร่งใส

การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า “แร่แรร์เอิร์ธ” (Rare Earth Elements: REE) เป็นทรัพยากรสำคัญของโลกยุคดิจิทัล ซึ่งใช้ในการผลิตเทคโนโลยีตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ สมาร์ตโฟน ไปจนถึงระบบอาวุธและดาวเทียม การครอบครองห่วงโซ่อุปทานของแร่ชนิดนี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระดับโลก


ประเทศไทยกับศักยภาพใหม่ของ “น้ำมันยุคดิจิทัล”

จากข้อมูลของกรมทรัพยากรธรณี พบว่า ประเทศไทยมีแหล่งแร่แรร์เอิร์ธกระจายอยู่ในกว่า 20 จังหวัด ทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ เช่น อุตรดิตถ์ แพร่ ขอนแก่น ชัยภูมิ และภูเก็ต ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการสำรวจ ถือเป็น “โอกาสทอง” ในการออกแบบนโยบายบริหารจัดการตั้งแต่ต้นทางให้เกิดความยั่งยืนและเป็นธรรม

ดร.สำราญ ระบุว่า หากประเทศไทยยังคงขายแร่ดิบในราคาถูกให้ต่างชาติ แต่ต้องนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีที่ผลิตจากแร่นั้นในราคาสูง ประเทศจะตกอยู่ในกับดัก “ขายถูก–ซื้อแพง” และสูญเสียอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจโลก ดังนั้น ไทยควรมุ่งสร้าง “ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain)” ที่ครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจ การแปรรูป ไปจนถึงการผลิตเทคโนโลยีปลายน้ำภายในประเทศ


บริหารแร่ด้วยธรรมาภิบาล โปร่งใส และมีส่วนร่วม

รายงานฉบับนี้เน้นว่า การพัฒนาแรร์เอิร์ธต้องตั้งอยู่บนหลัก “ธรรมาภิบาลทรัพยากร” (Resource Governance) ที่โปร่งใสและเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งในด้านการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วมตัดสินใจ และการกระจายผลประโยชน์

ข้อเสนอสำคัญ ได้แก่

  • จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และชุมชน

  • กำหนดภาษีทรัพยากรและกองทุนชุมชน เพื่อให้รายได้จากเหมืองกลับสู่ท้องถิ่น

  • กำหนดมาตรการ EIA ที่เข้มงวด พร้อมเปิดเผยข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

  • ส่งเสริมสิทธิของประชาชนในการ “ให้ความยินยอมก่อนล่วงหน้าอย่างเสรีและมีข้อมูลครบถ้วน” (Free, Prior and Informed Consent)


เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยี ไม่ขายแร่ดิบ

การวิเคราะห์พบว่า แร่ดิบ 1 ตันมีมูลค่าเพียงหลักหมื่นบาท แต่หากนำไปผลิตแม่เหล็กแรงสูงหรือชิปอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านบาท การลงทุนในเทคโนโลยีถลุงและการแปรรูปจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเปลี่ยน “ทรัพยากรใต้ดิน” ให้กลายเป็น “ความมั่งคั่งเหนือดิน” ของประชาชน

แนวทางที่เสนอประกอบด้วย

  • การพัฒนาเทคโนโลยีแยกแร่และการถลุงในประเทศ

  • การส่งเสริมอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น แม่เหล็ก แบตเตอรี่ และชิปอิเล็กทรอนิกส์

  • การลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมของไทยเอง

  • การพัฒนาแรงงานทักษะสูงรองรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด


สมดุลเศรษฐกิจ–สิ่งแวดล้อม–สังคม สู่อนาคตที่ยั่งยืน

ดร.สำราญ ย้ำว่า “แร่แรร์เอิร์ธไม่ใช่เพียงฝุ่นจากดินที่ถูกขุด แต่คือพลังเศรษฐกิจแห่งอนาคต”
การบริหารจัดการทรัพยากรนี้ต้องสมดุลระหว่างสามมิติหลัก ได้แก่

  • เศรษฐกิจ: สร้างมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม

  • สิ่งแวดล้อม: ควบคุมผลกระทบให้อยู่ในมาตรฐานสากล

  • สังคม: ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์และมีสิทธิ์ร่วมกำหนดทิศทาง

หากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันวางระบบธรรมาภิบาลทรัพยากรอย่างโปร่งใสและมองไกล ไทยอาจกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้ “แร่หายาก” เพื่อสร้าง “โอกาสใหม่ที่ยั่งยืน” แทนที่จะสร้างปัญหาแบบที่เกิดในหลายประเทศทั่วโลก

วิเคราะห์วิธีพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน


บทคัดย่อ

แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements: REE) เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีบทบาทสำคัญต่อเทคโนโลยีโลกยุคใหม่ ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบอาวุธและดาวเทียม ประเทศไทยมีศักยภาพด้านทรัพยากรแรร์เอิร์ธในหลายจังหวัด แต่ยังขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบและยั่งยืน งานศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยในมิติทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ผลการวิเคราะห์เสนอว่า ประเทศไทยควรเน้นการพัฒนา “ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain)” ที่ครบวงจร ตั้งแต่การสำรวจ การถลุง การแปรรูป จนถึงการผลิตเทคโนโลยีปลายน้ำ พร้อมทั้งสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชนและระบบกำกับดูแลที่โปร่งใส เพื่อให้ทรัพยากรใต้ดินกลายเป็นความมั่นคงและความมั่งคั่งของคนไทยทุกคน


1. บทนำ

ในศตวรรษที่ 21 แร่แรร์เอิร์ธถูกขนานนามว่าเป็น “น้ำมันแห่งยุคดิจิทัล” เนื่องจากเป็นองค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม ไปจนถึงระบบอาวุธยุทธศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ การครอบครองและควบคุมห่วงโซ่อุปทานของแร่แรร์เอิร์ธจึงมีความหมายทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงระดับโลก

ประเทศไทยมีศักยภาพทางทรัพยากรแร่แรร์เอิร์ธในหลายพื้นที่ ทั้งในภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ โดยเฉพาะบริเวณที่เคยมีลานแร่ดีบุกเก่าและหินแกรนิต อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการวางแผนจัดการที่ดี ประเทศอาจตกอยู่ในสภาวะ “ขายถูก–ซื้อแพง” กล่าวคือ ขายแร่ดิบราคาถูกให้ต่างชาติ แล้วต้องนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีที่ผลิตจากแร่นั้นในราคาสูง

ดังนั้น การวิเคราะห์วิธีพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยจึงมีเป้าหมายเพื่อหากลไกบริหารจัดการที่สมดุลระหว่าง “ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” และ “สิทธิของประชาชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ”


2. ลักษณะและความสำคัญของแร่แรร์เอิร์ธ

แร่แรร์เอิร์ธ คือ กลุ่มธาตุโลหะหายาก 17 ชนิด เช่น นีโอไดเมียม (Neodymium), ลานทานัม (Lanthanum), ซีเรียม (Cerium) ซึ่งส่วนใหญ่พบในหินแกรนิตและหินภูเขาไฟ แม้จะไม่ได้หายากทางปริมาณ แต่การสกัดและแยกออกมามีความซับซ้อนและต้นทุนสูง

แร่เหล่านี้เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น

  • แม่เหล็กแรงสูงในมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า

  • ชิปอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่ลิเทียม

  • อุปกรณ์สื่อสาร ดาวเทียม และระบบอาวุธนำวิถี
    ประเทศที่ควบคุมกระบวนการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธได้จึงมีอำนาจต่อรองสูงในระบบเศรษฐกิจโลก


3. ศักยภาพของประเทศไทย

กรมทรัพยากรธรณีได้สำรวจพบว่า ประเทศไทยมีแหล่งแร่แรร์เอิร์ธในอย่างน้อย 20 จังหวัด เช่น

  • ภาคเหนือ: อุตรดิตถ์ แพร่ พะเยา ลำปาง เชียงราย

  • ภาคกลาง: อุทัยธานี กาญจนบุรี เพชรบูรณ์

  • ภาคอีสาน: เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ สกลนคร นครพนม

  • ภาคใต้: ภูเก็ต พังงา ระนอง สุราษฎร์ธานี

พื้นที่เหล่านี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นตอนการสำรวจ ยังไม่มีการทำเหมืองเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการกำหนด “นโยบายตั้งต้นที่ยั่งยืน” ก่อนการเปิดเหมืองในอนาคต


4. ผลกระทบและความเสี่ยงจากการพัฒนาแร่

การสกัดและแยกแร่แรร์เอิร์ธต้องใช้สารเคมีรุนแรง เช่น กรดซัลฟิวริก และมักพบกากแร่ที่มีสารกัมมันตรังสี (ธอเรียม–ยูเรเนียม) หากขาดการจัดการที่ดีอาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน ได้แก่

  • การปนเปื้อนในน้ำและดิน

  • การสะสมของโลหะหนักในห่วงโซ่อาหาร

  • ผลกระทบทางสุขภาพ เช่น มะเร็งและโรคทางเดินหายใจ

ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีนและเมียนมา เคยเผชิญปัญหามลพิษร้ายแรงจากเหมืองแรร์เอิร์ธ ทำให้เกิดการต่อต้านจากชุมชนและต้องปิดเหมืองบางแห่ง การพัฒนาแรร์เอิร์ธในไทยจึงต้องมีมาตรการ EIA (Environmental Impact Assessment) ที่เข้มงวด และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง


5. การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

การขายแร่ดิบให้ต่างประเทศสร้างรายได้เพียงเล็กน้อย ขณะที่การแปรรูปและต่อยอดในอุตสาหกรรมปลายน้ำสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลายเท่า

  • แร่ดิบ 1 ตัน มีมูลค่าหลักหมื่นบาท

  • หากใช้ผลิตแม่เหล็กหรือชิปอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าจะเพิ่มเป็นหลักล้านบาท

ดังนั้น แนวทางที่เหมาะสมคือการสร้าง ห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ภายในประเทศ ได้แก่

  1. การลงทุนในเทคโนโลยีถลุงและแยกแร่ (Refining Technology)

  2. การจัดตั้งโรงงานผลิตแม่เหล็ก แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ภายในประเทศ

  3. การส่งเสริมวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีของไทยเอง

  4. การพัฒนาแรงงานทักษะสูง (High-Skill Labor) ให้พร้อมต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีสะอาด

  5. การกระจายผลประโยชน์สู่ท้องถิ่น ผ่านกองทุนชุมชนและโครงการพัฒนาอย่างยั่งยืน


6. การมีส่วนร่วมของประชาชนและธรรมาภิบาลทรัพยากร

เพื่อให้การพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธเกิด “ประโยชน์สูงสุดของประชาชน” ต้องมีการออกแบบระบบธรรมาภิบาล (Governance) ที่โปร่งใสและมีส่วนร่วม เช่น

  • การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะเกี่ยวกับผลการสำรวจและผลกระทบ

  • การตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และชุมชน

  • การรับฟังความคิดเห็นและสิทธิในการยินยอมของประชาชน (Free, Prior and Informed Consent)

  • การกำหนด “ภาษีทรัพยากร” และ “กองทุนเพื่อชุมชน” เพื่อกระจายผลตอบแทนอย่างเป็นธรรม


7. บทสรุปและข้อเสนอแนะ

การพัฒนาแร่แรร์เอิร์ธของประเทศไทยควรดำเนินการภายใต้กรอบ “เศรษฐกิจฐานทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable Resource Economy)” ซึ่งคำนึงถึงทั้งสามมิติ คือ

  1. เศรษฐกิจ: เพิ่มมูลค่าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ไม่ขายแร่ดิบ

  2. สิ่งแวดล้อม: ป้องกันผลกระทบด้วยมาตรฐานสากล

  3. สังคม: ให้ประชาชนในพื้นที่มีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจและได้รับประโยชน์จริง

ประเทศไทยอยู่ในจุดเริ่มต้นที่สามารถกำหนดทิศทางได้ถูกต้อง หากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันออกแบบระบบบริหารจัดการที่โปร่งใสและเน้นการต่อยอดทางเทคโนโลยี แร่แรร์เอิร์ธจะไม่ใช่เพียง “ฝุ่นจากดินที่ถูกขุด” แต่จะกลายเป็น “พลังเศรษฐกิจแห่งอนาคต” ของคนไทยทุกคน


เอกสารอ้างอิง

  1. กรมทรัพยากรธรณี. (2567). รายงานการสำรวจแร่แรร์เอิร์ธในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.

  2. วารสารเทคโนโลยีธรณี. (2566). Rare Earth Elements and Global Supply Chain: Thailand’s Strategic Potential.

  3. นันทวัฒน์ เมฆา. (2568). การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนรวม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

  4. U.S. Geological Survey (2024). Mineral Commodity Summaries: Rare Earths.

  5. European Commission. (2023). Critical Raw Materials Act. Brussels: EU Publication Office.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...