เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม ได้ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำการวิเคราะห์เชิงวิชาการในหัวข้อ “หลักธรรมในพระไตรปิฎกบริบทผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อความเท่าเทียมในสังคมและระบบประชาธิปไตย (AI, Inequality and Democracy)”
โดยพบว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กำลังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั่วโลก ขณะเดียวกันก็สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายด้าน “ความเท่าเทียม” และ “ประชาธิปไตย”
ในวันเดียวกันนี้ ที่โรงแรม S31 ถนนสุขุมวิท 31 กรุงเทพมหานคร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวต้อนรับและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเดียวกัน “AI, Inequality and Democracy” ในการประชุมสมัชชาใหญ่สภาเสรีนิยมและประชาธิปไตยแห่งเอเชีย (Council of Asian Liberals and Democrats: CALD) ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการบริหาร CALD ครั้งที่ 51
โดยเน้นถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่าง “การใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนา” กับ “การรักษาคุณค่าประชาธิปไตยและความเท่าเทียม” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของสังคมมนุษย์ในศตวรรษที่ 21
AI กับความไม่เท่าเทียมและประชาธิปไตย: มุมมองเชิงพุทธ
ดร.สำราญ สมพงษ์ วิเคราะห์ว่า เทคโนโลยี AI มีศักยภาพยิ่งใหญ่ในการพัฒนาเศรษฐกิจ การแพทย์ การศึกษา และระบบสังคม แต่ในทางกลับกัน การเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าวกลับกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนขนาดใหญ่และประเทศที่มีความพร้อมสูง ส่งผลให้เกิด “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” (Digital Divide) และอาจขยายไปสู่ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้างในสังคม
ขณะเดียวกัน การนำ AI มาใช้ในกระบวนการทางการเมือง เช่น การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสร้างเนื้อหาอัตโนมัติ หรือการกำหนดแนวโน้มทางความคิดเห็นของประชาชน หากขาดกรอบจริยธรรมที่เหมาะสม อาจกลายเป็นเครื่องมือที่บั่นทอนหลักการประชาธิปไตยได้โดยไม่รู้ตัว
บูรณาการหลักธรรมในพระไตรปิฎกสู่จริยธรรมเทคโนโลยี
ดร.สำราญได้เสนอการบูรณาการหลักธรรมสำคัญในพระไตรปิฎก 4 ประการ เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “ปัญญาเทียม” กับ “ปัญญาแท้” ของมนุษย์ ได้แก่
-
หลักอิทัปปัจจยตา (ปัจจัยสัมพันธ์)
แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของเหตุและผล เช่นเดียวกับโครงสร้างของ AI ที่เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก หากข้อมูลมีอคติ ผลลัพธ์ก็จะสะท้อนอคติกลับสู่สังคม ดังนั้น การพัฒนา AI ต้องมีสติรู้เท่าทันเหตุปัจจัยที่ตนสร้าง -
หลักอุเบกขาในพรหมวิหาร 4
การพัฒนาและใช้งาน AI ควรตั้งอยู่บนความเป็นกลาง ไม่ลำเอียงด้วยความรัก โกรธ หรือหลง เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีถูกใช้เป็นเครื่องมือแบ่งแยกหรือเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม -
หลักสัปปุริสธรรม 7
เช่น ธัมมัญญุตา (รู้ธรรม) และมัตตัญญุตา (รู้ประมาณ) สามารถนำมาใช้เป็นกรอบคุณธรรมของผู้พัฒนา AI และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อให้เทคโนโลยีรับใช้มนุษย์อย่างมีคุณค่า ไม่ก่อโทษ -
หลักสังคหวัตถุ 4
ทาน (การแบ่งปันเทคโนโลยี) ปิยวาจา (การสื่อสารด้วยความจริงใจ) อัตถจริยา (การใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ส่วนรวม) และสมานัตตตา (การเคารพความเสมอภาค) เป็นแนวทางสร้าง “AI แห่งเมตตา” ที่สอดคล้องกับประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
AI แห่งเมตตาและปัญญา: แนวทางประชาธิปไตยเชิงคุณธรรม
ดร.สำราญสรุปว่า พุทธธรรมสามารถเป็น “เข็มทิศจริยธรรม” สำหรับการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างมีสติและความรับผิดชอบ เพื่อให้มนุษย์ไม่ตกเป็นทาสของเครื่องจักร แต่ใช้ AI เป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์ร่วม โดยอาศัย “สติ” และ “เมตตา” เป็นฐานแห่งการตัดสินใจ
ในมุมมองเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวบนเวที CALD ว่า
“ประชาธิปไตยในยุคดิจิทัลต้องไม่หยุดอยู่ที่การเลือกตั้ง แต่ต้องเป็น ประชาธิปไตยแห่งความรู้และคุณธรรม (Ethical and Knowledge-based Democracy) ที่เปิดโอกาสให้เทคโนโลยีช่วยยกระดับชีวิตคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม”
บทสรุป
การบูรณาการหลักธรรมในพระไตรปิฎกกับเทคโนโลยี AI ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล แต่ยังช่วยส่งเสริมประชาธิปไตยที่มีมนุษยธรรม
ประเทศไทยในฐานะดินแดนแห่งพุทธธรรม จึงมีศักยภาพในการเป็นต้นแบบของ “AI ที่ตั้งอยู่บนคุณธรรม” (Ethical AI) ที่จะสร้างสังคมที่เท่าเทียม โปร่งใส และยั่งยืนในยุคปัญญาประดิษฐ์
วิเคราะห์หลักธรรมในพระไตรปิฎกบริบทผลกระทบของเทคโนโลยี AI ต่อความเท่าเทียมในสังคมและระบบประชาธิปไตย
(AI, Inequality and Democracy)
บทนำ
ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั่วโลก การพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI ได้นำมาซึ่งทั้งโอกาสและความท้าทาย โดยเฉพาะในประเด็น “ความไม่เท่าเทียม” (Inequality) และ “ประชาธิปไตย” (Democracy) ที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระจายอำนาจทางข้อมูลและทุนทางเทคโนโลยี
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่โรงแรม S31 ถนนสุขุมวิท 31 กรุงเทพมหานคร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวต้อนรับและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ
“AI, Inequality and Democracy” ในการประชุมสมัชชาใหญ่ สภาเสรีนิยมและประชาธิปไตยแห่งเอเชีย (Council of Asian Liberals and Democrats: CALD) ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการบริหาร CALD ครั้งที่ 51
โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนา กับการรักษาความเท่าเทียมและคุณค่าประชาธิปไตย ซึ่งเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์อย่างยั่งยืน
1. บริบทของเทคโนโลยี AI กับความไม่เท่าเทียมและประชาธิปไตย
เทคโนโลยี AI มีศักยภาพในการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การแพทย์ การศึกษา และการบริหารจัดการสังคม อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าวกลับกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มทุนขนาดใหญ่หรือประเทศที่มีความพร้อมสูง ส่งผลให้เกิด “ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล” (Digital Divide) ซึ่งอาจลุกลามสู่ความไม่เท่าเทียมเชิงโครงสร้างในระดับสังคม
ในขณะเดียวกัน การใช้ AI ในกระบวนการทางการเมือง เช่น การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การสร้างเนื้อหาด้วยอัลกอริทึม หรือการใช้ข้อมูลในการชี้นำทางความคิดเห็น อาจกลายเป็นเครื่องมือที่บั่นทอนหลักการประชาธิปไตย หากขาดกรอบจริยธรรมและการกำกับดูแลที่เหมาะสม
ดังนั้น ปัญหานี้จึงไม่ได้เป็นเพียงประเด็นเทคโนโลยี แต่เป็น ปัญหาทางคุณธรรม (Moral Issue) ที่ต้องอาศัยแนวทางทางจิตใจและหลักธรรมจากพระพุทธศาสนาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่าง “ปัญญาเทียม” กับ “ปัญญาแท้” ของมนุษย์
2. การวิเคราะห์หลักธรรมในพระไตรปิฎก
2.1 หลักอิทัปปัจจยตา (ปัจจัยสัมพันธ์)
หลักอิทัปปัจจยตาในพระไตรปิฎกกล่าวว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” แสดงถึงความสัมพันธ์เชิงเหตุปัจจัยของสรรพสิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างของ AI ที่เรียนรู้จากข้อมูลและปัจจัยหลากหลาย หากมนุษย์ป้อนข้อมูลที่มีอคติหรือขาดคุณธรรม ผลลัพธ์ของ AI ก็จะสะท้อนอคตินั้นกลับมาในสังคม
ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีต้องมีสติรู้เท่าทัน “เหตุ” ที่ตนสร้างขึ้น และต้องตระหนักว่าการออกแบบระบบใด ๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตและโอกาสของผู้อื่น
2.2 หลักอุเบกขาในพรหมวิหาร 4
การใช้ AI ควรตั้งอยู่บน “อุเบกขา” คือ ความเป็นกลางทางจิต ไม่ลำเอียงด้วยความรัก ความโกรธ ความกลัว หรือความหลง หากนักพัฒนาและผู้กำหนดนโยบายมีอุเบกขา จะสามารถวางระบบที่เคารพสิทธิของทุกฝ่าย ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
2.3 หลักสัปปุริสธรรม 7
พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักคุณธรรมของ “สัตบุรุษ” 7 ประการ เช่น ธัมมัญญุตา (รู้ธรรม) อัตถัญญุตา (รู้ประโยชน์) และมัตตัญญุตา (รู้ประมาณ) ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับการบริหารเทคโนโลยี AI ได้โดยตรง
นักพัฒนา AI ที่มีธัมมัญญุตาและมัตตัญญุตาจะไม่สร้างเทคโนโลยีที่เกินความจำเป็นหรือสร้างอันตรายต่อสังคม ขณะที่ผู้ใช้นโยบายที่มีอัตถัญญุตาจะรู้จักใช้ AI เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อเสริมอำนาจหรือผลประโยชน์ทางการเมือง
2.4 หลักสังคหวัตถุ 4
สังคหวัตถุ 4 ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา เป็นหลักธรรมแห่งการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย หากนำมาใช้ในบริบทของ AI หมายถึง การแบ่งปันเทคโนโลยี (ทาน) การสื่อสารด้วยความจริงใจ (ปิยวาจา) การใช้เทคโนโลยีเพื่อประโยชน์ส่วนรวม (อัตถจริยา) และการเคารพความเสมอภาคของผู้อื่น (สมานัตตตา)
3. การบูรณาการหลักธรรมเพื่อสร้างความเท่าเทียมและประชาธิปไตยในยุค AI
หลักธรรมในพระไตรปิฎกมิได้เป็นเพียงคำสอนทางศาสนา แต่เป็น แนวทางพัฒนา “AI ที่มีเมตตาและปัญญา” (Compassionate and Wise AI) ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเสริมสร้างประชาธิปไตยได้จริง หากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมกันยึดถือหลักธรรมเหล่านี้เป็นกรอบจริยธรรมร่วม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สะท้อนแนวคิดนี้ในเวที CALD ว่าประชาธิปไตยในศตวรรษที่ 21 ต้องไม่ใช่เพียงเรื่องของการเลือกตั้ง แต่เป็น “ประชาธิปไตยแห่งความรู้และคุณธรรม” ที่ให้มนุษย์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับชีวิตคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ไม่ปล่อยให้ AI กลายเป็นเครื่องมือของการผูกขาดหรือสร้างความแตกแยกในสังคม
บทสรุป
การวิเคราะห์ผลกระทบของ AI ต่อความเท่าเทียมและประชาธิปไตย หากมองผ่านหลักธรรมในพระไตรปิฎก จะพบว่าพุทธธรรมสามารถเป็น “เข็มทิศทางจริยธรรม” ที่ช่วยมนุษย์อยู่เหนือเทคโนโลยี ไม่ตกเป็นทาสของปัญญาประดิษฐ์ แต่ใช้ “ปัญญาแท้” แห่งสติและเมตตาเป็นเครื่องนำทาง
ประเทศไทยในฐานะสังคมแห่งพุทธธรรม จึงมีศักยภาพที่จะเป็นแบบอย่างของ “AI ที่ตั้งอยู่บนคุณธรรม” ซึ่งจะช่วยสร้างสังคมประชาธิปไตยที่มั่นคง เท่าเทียม และมีมนุษยธรรมในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น