วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568

"ดร.สำราญ" ร่วมเอไอวิเคราะห์ “ความเป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญไทย” ท่ามกลางกระแสแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประชามติ

 


เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี ได้ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์ “ความเป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญไทย” ในช่วงเวลาที่รัฐสภาไทยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเตรียมจัด การลงประชามติ ให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะเห็นชอบต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

ดร.สำราญระบุว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศและเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยรัฐธรรมนูญต้องสะท้อนถึง “อำนาจอธิปไตยของประชาชน” และสร้างกลไกการใช้อำนาจรัฐอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ซึ่งประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญแล้วหลายฉบับ และแต่ละฉบับต่างสะท้อนถึงความพยายามของสังคมไทยในการสร้างประชาธิปไตยให้มั่นคง


วิเคราะห์หลักการประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญไทย

ในการวิเคราะห์ของ ดร.สำราญ และเอไอ ได้ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญต้องตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. การยอมรับอำนาจอธิปไตยของประชาชน

  2. การแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างมีประสิทธิภาพ

  3. การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

หลักการเหล่านี้เป็นหัวใจของประชาธิปไตยในทุกประเทศ และเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็น “ของประชาชนจริงหรือไม่”


ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560

ดร.สำราญและเอไอได้ร่วมวิเคราะห์ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองหลังการรัฐประหาร แต่หลายส่วนของโครงสร้างกลับถูกมองว่าจำกัดความเป็นประชาธิปไตย เช่น

  • การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 250 คนโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร

  • เงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เข้มงวด ทำให้ประชาชนไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

  • อำนาจขององค์กรอิสระที่ถูกมองว่ามีอิทธิพลสูงเกินสมดุลกับฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังมีข้อดี เช่น การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และการส่งเสริมธรรมาภิบาลของเจ้าหน้าที่รัฐ


กระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2568 และแนวโน้มประชาธิปไตยไทย

การที่รัฐสภาไทยกำลังพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและจัดประชามติในปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประชาธิปไตยไทย โดยมีแรงผลักดันจากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. ความต้องการของประชาชนและพรรคการเมืองที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน

  2. ความจำเป็นในการปรับระบบการเลือกตั้งและวุฒิสภาให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยสากล

  3. การฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาและลดความขัดแย้งทางการเมือง

ดร.สำราญกล่าวว่า หากกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และผ่านการตัดสินใจของประชาชนโดยตรงผ่านประชามติ “ก็จะเป็นก้าวสำคัญของประชาธิปไตยไทยที่แท้จริง”


สรุป

การวิเคราะห์ร่วมระหว่างนักวิชาการอิสระและเอไอในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญไทยยังอยู่ในช่วงของ “การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” และต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง

ดร.สำราญทิ้งท้ายว่า “รัฐธรรมนูญที่ดีไม่เพียงต้องเขียนโดยผู้รู้ แต่ต้องได้รับฉันทามติจากผู้คนทั้งประเทศ เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริง คือการที่ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...