เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี ได้ร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) วิเคราะห์ “ความเป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญไทย” ในช่วงเวลาที่รัฐสภาไทยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเตรียมจัด การลงประชามติ ให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะเห็นชอบต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
ดร.สำราญระบุว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศและเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยรัฐธรรมนูญต้องสะท้อนถึง “อำนาจอธิปไตยของประชาชน” และสร้างกลไกการใช้อำนาจรัฐอย่างโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ ซึ่งประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญแล้วหลายฉบับ และแต่ละฉบับต่างสะท้อนถึงความพยายามของสังคมไทยในการสร้างประชาธิปไตยให้มั่นคง
วิเคราะห์หลักการประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญไทย
ในการวิเคราะห์ของ ดร.สำราญ และเอไอ ได้ชี้ให้เห็นว่า ความเป็นประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญต้องตั้งอยู่บนหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
-
การยอมรับอำนาจอธิปไตยของประชาชน
-
การแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างมีประสิทธิภาพ
-
การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
หลักการเหล่านี้เป็นหัวใจของประชาธิปไตยในทุกประเทศ และเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็น “ของประชาชนจริงหรือไม่”
ประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560
ดร.สำราญและเอไอได้ร่วมวิเคราะห์ว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2560 แม้จะถูกออกแบบมาเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเมืองหลังการรัฐประหาร แต่หลายส่วนของโครงสร้างกลับถูกมองว่าจำกัดความเป็นประชาธิปไตย เช่น
-
การแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 250 คนโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร
-
เงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เข้มงวด ทำให้ประชาชนไม่สามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
-
อำนาจขององค์กรอิสระที่ถูกมองว่ามีอิทธิพลสูงเกินสมดุลกับฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังมีข้อดี เช่น การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และการส่งเสริมธรรมาภิบาลของเจ้าหน้าที่รัฐ
กระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2568 และแนวโน้มประชาธิปไตยไทย
การที่รัฐสภาไทยกำลังพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญและจัดประชามติในปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประชาธิปไตยไทย โดยมีแรงผลักดันจากหลายปัจจัย ได้แก่
-
ความต้องการของประชาชนและพรรคการเมืองที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน
-
ความจำเป็นในการปรับระบบการเลือกตั้งและวุฒิสภาให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยสากล
-
การฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาและลดความขัดแย้งทางการเมือง
ดร.สำราญกล่าวว่า หากกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และผ่านการตัดสินใจของประชาชนโดยตรงผ่านประชามติ “ก็จะเป็นก้าวสำคัญของประชาธิปไตยไทยที่แท้จริง”
สรุป
การวิเคราะห์ร่วมระหว่างนักวิชาการอิสระและเอไอในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาธิปไตยในรัฐธรรมนูญไทยยังอยู่ในช่วงของ “การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” และต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง
ดร.สำราญทิ้งท้ายว่า “รัฐธรรมนูญที่ดีไม่เพียงต้องเขียนโดยผู้รู้ แต่ต้องได้รับฉันทามติจากผู้คนทั้งประเทศ เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริง คือการที่ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง”

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น