ดร.สำราญ สมพงษ์ จับมือ AI วิเคราะห์ความคืบหน้าแก้ปัญหาความยากจนไทย ปี 2564–2568 ชี้ไทยเดินหน้า “พัฒนาอย่างทั่วถึง” ตามแนวทางภูมิปัญญาท้องถิ่น–นวัตกรรม ขณะเตรียมเป็นเจ้าภาพประชุมรัฐมนตรีอาเซียนฯ เดือนธันวาคมนี้
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เผยผลการวิเคราะห์ความคืบหน้า “การแก้ปัญหาความยากจนของประเทศไทยระหว่างปี 2564–2568” โดยระบุว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทย ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดนโยบาย “คนไทยไม่ทิ้งกัน” และ “การพัฒนาอย่างทั่วถึง” เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมพลังให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ข้อมูล–นวัตกรรม–ชุมชน”
ดร.สำราญชี้ว่า กระทรวงมหาดไทยมีบทบาทหลักในการพัฒนาชนบท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนแม่บทการพัฒนาชนบท โดยเน้นแนวทาง “การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม” และ “ใช้ข้อมูลเป็นฐาน” ผ่านระบบ TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) ที่ช่วยระบุครัวเรือนยากจนรายพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ ไทยยังแสดงบทบาทนำในเวทีระดับภูมิภาค ด้วยการเป็นเจ้าภาพจัด การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ 14 (14th AMRDPE) ระหว่างวันที่ 8–12 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด
“ขับเคลื่อนการพัฒนาชนบทอย่างทั่วถึง ด้วยนวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และพลังชุมชน เพื่อการขจัดความยากจนอย่างยั่งยืนในอาเซียน”
แนวคิดนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของอาเซียน (ASEAN SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 1 “ขจัดความยากจนในทุกรูปแบบ” และเป้าหมายที่ 10 “ลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศและระหว่างประเทศ”
ผลการดำเนินงานเด่น – ความยากจนลดเหลือ 5%
จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สัดส่วนประชากรยากจนของไทยลดลงจากร้อยละ 6.8 ในปี 2564 เหลือเพียงร้อยละ 5.0 ในปี 2567 แสดงถึงความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทภาคเหนือและอีสาน ซึ่งมีการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านโครงการ “หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง” การส่งเสริมสตรีและเยาวชนในชุมชน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดดิจิทัล
ขณะเดียวกัน การจัดตั้ง เครือข่ายหมู่บ้านอาเซียน (ASEAN Village Network: AVN) ที่ไทยเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 3 ในปีนี้ ยังเป็นกลไกสร้างการเรียนรู้ร่วมระหว่างประเทศสมาชิกด้านนวัตกรรมเกษตร พลังงานสะอาด และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ปัจจัยสำเร็จ–อุปสรรคที่ต้องเร่งแก้
ดร.สำราญระบุว่า ความสำเร็จของการขจัดความยากจนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาเกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
- การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีวิเคราะห์ปัญหาเชิงพื้นที่
- การบูรณาการระหว่างภาครัฐ–เอกชน–ภาคประชาชน ผ่านเวที PPPP Forum
- การเชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นกับนวัตกรรมสมัยใหม่
- การขับเคลื่อนแนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ให้เกิดผลจริง
อย่างไรก็ดี ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องเร่งแก้ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างเมืองกับชนบท ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล และข้อจำกัดด้านแหล่งทุนสำหรับเกษตรกรรายย่อย
ไทยพร้อมนำเสนอ “โมเดลความสำเร็จแบบไทย” สู่เวทีอาเซียน
การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทฯ ครั้งที่ 14 ในเดือนธันวาคมนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ประเทศไทยจะนำเสนอ “โมเดลความสำเร็จแบบไทย” ที่ผสานพลังระหว่างรัฐ เทคโนโลยี และชุมชนสู่ระดับภูมิภาค
ดร.สำราญสรุปว่า “ความยากจนไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกทางสังคมและการอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติ หากไทยสามารถพัฒนาชนบทด้วยภูมิปัญญาและนวัตกรรมโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้จริง นั่นคือรากฐานของสังคมพอเพียงและยั่งยืนอย่างแท้จริง”
วิเคราะห์ความคืบหน้าแก้ปัญหาความยากจนของไทยระหว่างปี 2564–2568
บทนำ
การแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี 2564–2568 ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีของประเทศ ภายใต้ผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19 และวิกฤติทางเศรษฐกิจระดับโลก รัฐบาลได้กำหนดนโยบาย “คนไทยไม่ทิ้งกัน” และ “การพัฒนาอย่างทั่วถึง” เป็นกรอบสำคัญ โดยบูรณาการการทำงานของหลายกระทรวง หน่วยงาน และองค์กรท้องถิ่น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
1. ความคืบหน้าทางนโยบายและกลไกการดำเนินงาน (พ.ศ. 2564–2568)
กระทรวงมหาดไทยในฐานะหน่วยงานหลักในการพัฒนาชนบท ได้ดำเนินโครงการและนโยบายสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนแม่บทการพัฒนาชนบท โดยเน้นแนวทาง “การพัฒนาแบบมีส่วนร่วม” และ “ใช้ข้อมูลเป็นฐาน” (Data-driven Development) เพื่อให้การช่วยเหลือตรงจุด ผ่านระบบ TPMAP (Thai People Map and Analytics Platform) ที่สามารถระบุครัวเรือนยากจนรายพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้ขับเคลื่อนความร่วมมือระดับภูมิภาค ผ่าน “การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทและขจัดความยากจน ครั้งที่ 14 (14th AMRDPE)” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8–12 ธันวาคม 2568 ณ กรุงเทพมหานคร ภายใต้แนวคิด
“ขับเคลื่อนการพัฒนาชนบทอย่างทั่วถึง ด้วยนวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และพลังชุมชน เพื่อการขจัดความยากจนอย่างยั่งยืนในอาเซียน”
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวสะท้อนการบูรณาการนโยบายไทยกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของอาเซียน (ASEAN SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 1 “ขจัดความยากจนในทุกรูปแบบ” และเป้าหมายที่ 10 “ลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศและระหว่างประเทศ”
2. ผลการดำเนินงานและแนวโน้มความสำเร็จ
จากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า สัดส่วนประชากรยากจนของประเทศไทยลดลงจากร้อยละ 6.8 ในปี 2564 เหลือประมาณร้อยละ 5.0 ในปี 2567 สะท้อนความคืบหน้าในเชิงปริมาณที่ชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีการยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ผ่านโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง การเสริมพลังสตรีและเยาวชนในชุมชน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับตลาดดิจิทัล
ขณะเดียวกัน การจัดตั้ง “เครือข่ายหมู่บ้านอาเซียน (ASEAN Village Network: AVN)” ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 3 ในปี 2568 ถือเป็นอีกกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในด้านการพัฒนาชนบท เช่น การแลกเปลี่ยนนวัตกรรมเกษตร การใช้พลังงานสะอาดในชุมชน และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติแบบยั่งยืน
3. ปัจจัยความสำเร็จและอุปสรรค
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของการแก้ปัญหาความยากจนในช่วงปี 2564–2568 ได้แก่
-
การนำ “ข้อมูลและเทคโนโลยี” มาช่วยวิเคราะห์ปัญหาเชิงพื้นที่
-
การบูรณาการระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน (PPPP Forum)
-
การส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เชื่อมโยงกับนวัตกรรมสมัยใหม่
-
การผลักดันแนวคิด “การพัฒนาไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” สู่การปฏิบัติจริง
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่ยังคงมีอยู่ ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ระหว่างเมืองกับชนบท ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และการเข้าถึงแหล่งทุนของเกษตรกรรายย่อยที่ยังจำกัด
4. สรุปและข้อเสนอแนะ
ภาพรวมระหว่างปี 2564–2568 แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการขจัดความยากจน ทั้งในระดับนโยบายและระดับชุมชน การเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านการพัฒนาชนบทฯ ครั้งที่ 14 ในปลายปี 2568 จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะนำเสนอ “โมเดลความสำเร็จแบบไทย” สู่ระดับภูมิภาค โดยอาศัยพลังของนวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความร่วมมือทุกภาคส่วน
ข้อเสนอแนะสำคัญคือ
-
ควรเร่งพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลเชิงพื้นที่ (Local M&E System) เพื่อให้เห็นผลลัพธ์จริงของการลดความยากจน
-
เสริมสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนให้มีความยั่งยืน ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้และระบบตลาดออนไลน์
-
ส่งเสริม “ผู้นำการพัฒนาท้องถิ่น” ให้มีบทบาทเชื่อมโยงนโยบายรัฐกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น