วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ดร.สำราญ” จับมือเอไอวิเคราะห์การรักศาสนาในสังคมชาวพุทธไทย ชี้คนไทยยังติดรูปแบบ “อามิสบูชา” มากกว่า “ปฏิบัติบูชา”



เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านพุทธสันติวิธี เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในหัวข้อ “การรักศาสนาในสังคมชาวพุทธไทย: อามิสบูชา – ปฏิบัติบูชา” โดยชี้ให้เห็นภาพสะท้อนทางศาสนาของคนไทยยุคปัจจุบัน ที่ยังคงเน้นการบูชาศาสนาในเชิงพิธีกรรมภายนอก มากกว่าการนำหลักธรรมไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน

ดร.สำราญกล่าวว่า งานศึกษานี้มุ่งทำความเข้าใจ “รูปแบบและระดับของศรัทธา” ของชาวพุทธไทย ผ่านกรอบแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเรื่อง อามิสบูชา (การบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ เช่น การทำบุญ ตักบาตร หรือถวายสังฆทาน) และ ปฏิบัติบูชา (การบูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น การรักษาศีล เจริญภาวนา และพัฒนาปัญญา)


ชี้สังคมไทยยังยึดติด “ศรัทธาภายนอก” มากกว่า “การปฏิบัติภายใน”

ผลการวิเคราะห์พบว่า แม้คนไทยกว่าร้อยละ 90 จะนับถือพระพุทธศาสนา และยังคงมีศรัทธาในระดับสูง แต่พฤติกรรมการรักศาสนาของคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในลักษณะของ “การแสดงออกภายนอก” เช่น การร่วมทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา การจัดพิธีกรรม หรือการบริจาคทรัพย์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง อามิสบูชา

ในทางกลับกัน “ปฏิบัติบูชา” ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาและเน้นการปฏิบัติตามหลักธรรมอย่างจริงจัง กลับได้รับความสำคัญน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น การฝึกจิต การเจริญสมาธิภาวนา หรือการดำเนินชีวิตตามหลักอริยมรรคมีองค์แปด

ดร.สำราญกล่าวว่า

“คนไทยรักศาสนา แต่ยังขาดการเข้าใจแก่นของศาสนาอย่างแท้จริง เรามักจะทำบุญเพื่อความอุ่นใจ มากกว่าการฝึกฝนจิตใจเพื่อดับทุกข์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า”


ย้ำ “ปฏิบัติบูชา” คือการรักษาพระศาสนาให้ยั่งยืน

ในการศึกษานี้ยังได้อ้างถึงพุทธพจน์จาก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ที่ว่า

“ผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามธรรมของตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยปฏิบัติบูชา”
เพื่อเน้นย้ำว่า การบูชาที่แท้จริงมิได้อยู่ที่พิธีกรรมหรือวัตถุสิ่งของ แต่อยู่ที่การนำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน

ดร.สำราญชี้ว่า “อามิสบูชา” มีคุณค่าในแง่ของวัฒนธรรมและการคงอยู่ของชุมชนศาสนา แต่ “ปฏิบัติบูชา” คือสิ่งที่จะทำให้ศาสนามีชีวิตอยู่ในจิตใจของผู้คน และสืบทอดได้อย่างยั่งยืน


เตือนภัยสังคมบริโภคนิยม ทำศาสนาแปรเป็นสินค้า

ในบทวิเคราะห์ยังระบุว่า สังคมไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะ “บริโภคนิยมทางศาสนา” ซึ่งทำให้รูปแบบของการรักศาสนาเริ่มเบี่ยงเบน เช่น การทำบุญออนไลน์ การเช่าวัตถุมงคล หรือการทำบุญเพื่อเสริมดวง ส่งผลให้ศาสนาเปลี่ยนจากหนทางแห่งการพ้นทุกข์ กลายเป็นสิ่งตอบสนองความเชื่อเชิงวัตถุ

ดร.สำราญเสนอว่า ถึงเวลาแล้วที่ชาวพุทธไทยต้องฟื้นฟู “การรักศาสนาเชิงปฏิบัติ” ผ่านการเรียนรู้และฝึกจิตอย่างต่อเนื่อง เช่น การภาวนาในชุมชน การบรรจุหลักธรรมในหลักสูตรการศึกษา และการส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งสติและปัญญาในสังคม


ชี้แนวทางรักศาสนาอย่างแท้จริง

ดร.สำราญสรุปว่า การรักศาสนาอย่างแท้จริงต้องมีทั้ง “อามิสบูชา” เพื่อคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมทางศาสนา และ “ปฏิบัติบูชา” เพื่อดำรงแก่นแท้ของธรรมะในชีวิตประจำวัน

“เมื่อศรัทธาและปัญญาสมดุลกัน พระพุทธศาสนาจะไม่เพียงอยู่ในวัดหรือพิธีกรรม แต่จะอยู่ในใจของคนไทยทุกคน”


เอกสารอ้างอิง

งานศึกษานี้อ้างอิงหลักจาก

  • พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม (2543)

  • พระไตรปิฎก เล่มที่ 22 อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต

  • เสฐียรพงษ์ วรรณปก. ศรัทธาและปัญญาในพระพุทธศาสนา (2549)

  • ชัยวัฒน์ สถาอานันท์. ศาสนา วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (2553)

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. รายงานสถานการณ์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย (2563)

วิเคราะห์การรักศาสนาในสังคมชาวพุทธไทย: อามิสบูชา – ปฏิบัติบูชา


บทคัดย่อ

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวคิดเรื่อง “การรักศาสนา” ในสังคมชาวพุทธไทย โดยใช้กรอบแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่อง “อามิสบูชา” และ “ปฏิบัติบูชา” เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบและระดับของศรัทธาที่ชาวพุทธไทยมีต่อพระพุทธศาสนา การศึกษาพบว่า การรักศาสนาในสังคมไทยส่วนใหญ่ยังคงเน้นการแสดงออกภายนอก เช่น การทำบุญ ตักบาตร หรือเข้าวัดในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งเป็นการบูชาเชิง “อามิสบูชา” มากกว่าการนำหลักธรรมไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็น “ปฏิบัติบูชา” อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา บทความเสนอให้การรักศาสนาในสังคมไทยพัฒนาไปสู่การปฏิบัติที่ลึกซึ้ง มีสติ ปัญญา และจิตสำนึกเชิงจริยธรรม เพื่อให้พระพุทธศาสนายังคงมีชีวิตอยู่ในจิตใจของผู้คนอย่างแท้จริง


1. บทนำ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชาวพุทธมากกว่าร้อยละ 90 ของประชากรทั้งหมด พระพุทธศาสนาเป็นรากฐานทางจิตใจ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนไทยมายาวนาน การ “รักศาสนา” จึงถูกมองว่าเป็นคุณลักษณะของคนดีและเป็นส่วนหนึ่งของอุดมคติ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ที่ปลูกฝังในสังคมไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะพบว่าความรักในศาสนาของชาวพุทธไทยจำนวนมากยังคงอยู่ในระดับของ การแสดงออกภายนอก เช่น การทำบุญใส่บาตร การถวายปัจจัย การจุดธูปเทียนบูชา หรือการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาในวันสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “อามิสบูชา” แต่ในขณะเดียวกัน “ปฏิบัติบูชา” ซึ่งหมายถึงการนำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปใช้จริงในชีวิต เช่น การฝึกจิต การรักษาศีล และการพัฒนาปัญญา กลับได้รับความสำคัญน้อยกว่า

ดังนั้น บทความนี้จะวิเคราะห์การรักศาสนาในสังคมชาวพุทธไทยผ่านกรอบแนวคิด “อามิสบูชา” และ “ปฏิบัติบูชา” เพื่อเสนอแนวทางให้การรักศาสนาในสังคมไทยพัฒนาไปสู่การเข้าใจและปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง


2. กรอบแนวคิดทางพุทธศาสนา: อามิสบูชา – ปฏิบัติบูชา

ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา มีการจำแนกการบูชาพระพุทธเจ้าไว้สองรูปแบบ คือ

  1. อามิสบูชา (Āmisapūjā)
    หมายถึง การบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ หรือการแสดงความเคารพภายนอก เช่น การถวายดอกไม้ ธูป เทียน หรือการจัดพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อแสดงศรัทธา เป็นการบูชาเชิงสัญลักษณ์และอารมณ์

  2. ปฏิบัติบูชา (Paṭipattipūjā)
    หมายถึง การบูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่น การรักษาศีล การเจริญสมาธิ การพัฒนาปัญญา และการละบาปทั้งปวง เป็นการบูชาที่ถือว่า “สูงสุด” เพราะเป็นการสืบทอดพระธรรมด้วยการกระทำจริง

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ว่า “ผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามธรรมของตถาคต ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคตด้วยปฏิบัติบูชา” (พระไตรปิฎก เล่มที่ 22 ข้อที่ 128)
ซึ่งชี้ชัดว่า การบูชาที่แท้จริงมิใช่เพียงการแสดงออกภายนอก แต่คือการดำเนินชีวิตตามหลักธรรม


3. การรักศาสนาในสังคมชาวพุทธไทย

3.1 การรักศาสนาในรูปของ “อามิสบูชา”

ในชีวิตประจำวันของชาวพุทธไทย การทำบุญและเข้าวัดถือเป็นกิจกรรมหลักในการแสดงความรักศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการตักบาตรในตอนเช้า การถวายสังฆทาน หรือการร่วมงานบุญประจำปี การกระทำเหล่านี้สะท้อนความศรัทธาในระดับ “อามิสบูชา” ซึ่งมีคุณค่าในด้านการรักษาประเพณีและความสามัคคีของชุมชน

อย่างไรก็ตาม ความศรัทธาในรูปแบบนี้มักมีลักษณะ “เชิงวัตถุ” หรือ “เชิงพิธีกรรม” ซึ่งบางครั้งอาจทำให้ผู้คนเข้าใจว่าการรักศาสนาคือการ “ทำบุญให้มาก” โดยละเลยการฝึกฝนตนเองในทางจิตใจและศีลธรรม

3.2 การรักศาสนาในรูปของ “ปฏิบัติบูชา”

ในอีกมิติหนึ่ง การรักศาสนาในระดับ “ปฏิบัติบูชา” หมายถึง การยึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เช่น การรักษาศีลห้า การทำงานด้วยความซื่อสัตย์ การไม่เบียดเบียนผู้อื่น การใช้ชีวิตด้วยสติและเมตตา การรักศาสนาเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยพิธีกรรม แต่ปรากฏในพฤติกรรมและจิตสำนึกของบุคคล

ตัวอย่างเช่น พระภิกษุที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย หรือฆราวาสที่ดำเนินชีวิตตามหลักอริยมรรคมีองค์แปด ต่างเป็นตัวอย่างของผู้ที่รักศาสนาด้วย “ปฏิบัติบูชา” อันเป็นการสืบทอดพระธรรมอย่างแท้จริง


4. การเปรียบเทียบ: อามิสบูชา vs ปฏิบัติบูชา

มิติการเปรียบเทียบอามิสบูชาปฏิบัติบูชา
ลักษณะการแสดงออกการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ พิธีกรรมการบูชาด้วยการปฏิบัติตามธรรม
จุดมุ่งหมายแสดงศรัทธา ความเคารพพัฒนาจิตใจและความเข้าใจในธรรม
ผลที่เกิดขึ้นความอิ่มเอิบใจชั่วคราวความสงบและปัญญาอย่างยั่งยืน
ความยั่งยืนของศาสนาพึ่งพารูปแบบภายนอกสืบต่อธรรมะในชีวิตจริงของผู้คน

จากตารางจะเห็นได้ว่า อามิสบูชามีบทบาทในด้านวัฒนธรรมและสังคม แต่ปฏิบัติบูชาคือหัวใจที่ทำให้ศาสนายืนหยัดอยู่ได้อย่างแท้จริง เพราะช่วยพัฒนา “ภายใน” ของมนุษย์


5. การรักศาสนาในยุคสังคมบริโภคนิยม

ในสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยค่านิยมทางวัตถุ การรักศาสนาในรูปแบบอามิสบูชามักถูกใช้ในเชิงการตลาด เช่น การทำบุญออนไลน์ การเช่าวัตถุมงคล หรือการทำบุญเพื่อเสริมดวง ส่งผลให้ศาสนากลายเป็น “วัตถุทางจิตวิญญาณ” มากกว่าหนทางแห่งการพ้นทุกข์

เพื่อให้ศาสนาอยู่รอดในบริบทนี้ จำเป็นต้องฟื้นฟู “การรักศาสนาแบบปฏิบัติบูชา” ผ่านการส่งเสริมการเรียนรู้หลักธรรมและการฝึกจิต เช่น การปฏิบัติสมาธิภาวนาในชุมชน การจัดการเรียนรู้เชิงธรรมะในสถานศึกษา และการนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานหรือชีวิตประจำวัน


6. สรุปและข้อเสนอแนะ

การรักศาสนาในสังคมชาวพุทธไทยยังคงเน้นการบูชาเชิงสัญลักษณ์ (อามิสบูชา) มากกว่าการลงมือปฏิบัติ (ปฏิบัติบูชา) ซึ่งแม้จะมีคุณค่าในทางสังคมและวัฒนธรรม แต่หากขาดการพัฒนาในระดับจิตใจ ศาสนาก็อาจกลายเป็นเพียงรูปแบบภายนอก

การรักศาสนาที่แท้จริงจึงควรประกอบด้วยสองมิติ คือ

  1. อามิสบูชา เพื่อรักษาประเพณีและความสามัคคีของชุมชน

  2. ปฏิบัติบูชา เพื่อสืบทอดแก่นแท้ของธรรมะในจิตใจ

เมื่อทั้งสองมิติสมดุลกัน พระพุทธศาสนาจะไม่เพียงดำรงอยู่ในวัดหรือพิธีกรรม แต่จะดำรงอยู่ในจิตใจของชาวพุทธทุกคน


เอกสารอ้างอิง

  • พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (2543). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.

  • พระไตรปิฎก เล่มที่ 22 อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต.

  • เสฐียรพงษ์ วรรณปก. (2549). ศรัทธาและปัญญาในพระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย.

  • ชัยวัฒน์ สถาอานันท์. (2553). ศาสนา วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.

  • สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. (2563). รายงานสถานการณ์พระพุทธศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพฯ.

  • การวิเคราะห์การรักชาติในสังคมไทย: อามิสบูชา – ปฏิบัติบูชา

    บทคัดย่อ

    บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิดเรื่อง “การรักชาติ” ในสังคมไทย ผ่านกรอบแนวคิดทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะหลัก “อามิสบูชา” และ “ปฏิบัติบูชา” ซึ่งสะท้อนระดับของคุณค่าทางศีลธรรมและจิตสำนึกพลเมือง บทความชี้ให้เห็นว่าการรักชาติของคนไทยในหลายช่วงเวลามักเน้นด้านสัญลักษณ์และอารมณ์ (อามิสบูชา) มากกว่าการลงมือสร้างสรรค์หรือปฏิบัติเพื่อประโยชน์ส่วนรวม (ปฏิบัติบูชา) อันนำไปสู่คำถามสำคัญว่า “เรารักชาติด้วยใจ หรือเพียงด้วยพิธีกรรมทางสังคม” การวิเคราะห์นี้มุ่งเสนอแนวทางให้การรักชาติของไทยพัฒนาไปสู่ระดับจิตสำนึกเชิงจริยธรรมและปัญญา เพื่อความมั่นคงของสังคมในระยะยาว


    1. บทนำ

    แนวคิดเรื่อง “การรักชาติ” เป็นรากฐานสำคัญของสังคมทุกประเทศ โดยเฉพาะในสังคมไทยที่คำว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ถูกปลูกฝังในฐานะสัญลักษณ์ของความเป็นพลเมืองดีมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในมิติทางสังคมวัฒนธรรม พบว่าการรักชาติในสังคมไทยมักปรากฏในรูปของ “การแสดงออก” มากกว่าการ “ลงมือทำ” เช่น การชูธงชาติ ร้องเพลงชาติ หรือโพสต์ข้อความเชิงชาตินิยมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นพฤติกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่เข้าข่าย “อามิสบูชา” ตามแนวคิดทางพุทธศาสนา

    ในทางตรงกันข้าม “ปฏิบัติบูชา” ซึ่งหมายถึงการแสดงความเคารพหรือความศรัทธาผ่านการลงมือทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้จริง เช่น การทำหน้าที่พลเมือง การเสียสละเพื่อส่วนรวม การรักษาความซื่อสัตย์สุจริต กลับเป็นสิ่งที่ปรากฏน้อยในทางปฏิบัติ บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์ปรากฏการณ์ดังกล่าวเพื่อทำความเข้าใจรากฐานของ “การรักชาติ” ในสังคมไทยอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น


    2. กรอบแนวคิด: อามิสบูชาและปฏิบัติบูชา

    แนวคิด “อามิสบูชา” และ “ปฏิบัติบูชา” ปรากฏในพระพุทธศาสนา หมายถึงวิธีการแสดงความเคารพหรือศรัทธาต่อสิ่งที่ตนเคารพนับถือ

    • อามิสบูชา (Āmisapūjā) คือ การบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ เช่น ดอกไม้ ธูป เทียน หรือพิธีกรรมทางศาสนา เป็นการแสดงออกทางภายนอก

    • ปฏิบัติบูชา (Paṭipattipūjā) คือ การบูชาด้วยการปฏิบัติตามคำสอนหรือหลักธรรม เป็นการกระทำที่แสดงถึงความเข้าใจและศรัทธาที่แท้จริง

    เมื่อนำกรอบนี้มาวิเคราะห์ในเชิงสังคม การ “รักชาติ” จึงสามารถแบ่งออกได้เป็นสองระดับเช่นเดียวกัน คือ

    1. การรักชาติแบบอามิสบูชา — เน้นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น การเคารพธงชาติ การกล่าวคำรักชาติ การร่วมพิธีสำคัญทางชาติ

    2. การรักชาติแบบปฏิบัติบูชา — เน้นการกระทำเชิงคุณธรรม เช่น การทำงานด้วยความรับผิดชอบ การเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อส่วนรวม การไม่ทุจริตและไม่ทำร้ายชาติทางเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม


    3. การรักชาติในบริบทสังคมไทย

    สังคมไทยในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาได้รับอิทธิพลจากแนวคิดชาตินิยม (Nationalism) ที่รัฐใช้ในการสร้างเอกภาพของประชาชน เช่น การร้องเพลงชาติ การชักธง การสอนประวัติศาสตร์ชาติในระบบการศึกษา สิ่งเหล่านี้ช่วยปลูกฝังความภูมิใจในความเป็นไทย แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ “การรักชาติ” กลายเป็นเรื่องของ “พิธีกรรมทางสังคม” มากกว่าการพัฒนาคุณธรรมพลเมือง

    ในบริบทปัจจุบัน การรักชาติของคนรุ่นใหม่เริ่มเปลี่ยนไป โดยมีการตั้งคำถามต่อรูปแบบการแสดงออกแบบเดิม และหันมาเน้น “การมีส่วนร่วม” กับสังคมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การอาสาสมัคร การรณรงค์สิ่งแวดล้อม หรือการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มของ “ปฏิบัติบูชา” ที่เกิดขึ้นจากจิตสำนึกทางพลเมือง (Civic Consciousness) มากกว่าอารมณ์ชาตินิยมแบบเดิม


    4. การเปรียบเทียบ: อามิสบูชา vs ปฏิบัติบูชาในมิติการรักชาติ

    มิติอามิสบูชาปฏิบัติบูชา
    ลักษณะการแสดงออกการกระทำเชิงสัญลักษณ์ เช่น ชักธงชาติ ร้องเพลงชาติการกระทำเชิงคุณธรรม เช่น ทำงานซื่อสัตย์ เสียสละเพื่อส่วนรวม
    แรงจูงใจศรัทธาภายนอกหรือการยึดตามขนบศรัทธาภายในและความเข้าใจในคุณค่าของชาติ
    ผลที่เกิดขึ้นความรู้สึกผูกพันเชิงอารมณ์การสร้างความมั่นคงทางจิตใจและสังคม
    ความยั่งยืนชั่วคราวหรือขึ้นกับบริบททางสังคมยั่งยืนและพัฒนาได้ต่อเนื่อง

    5. การพัฒนาแนวคิดการรักชาติแบบปฏิบัติบูชา

    เพื่อให้ “การรักชาติ” ของคนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ จำเป็นต้องเปลี่ยนจากการเน้น “การแสดงออก” มาสู่ “การลงมือทำ” โดยใช้หลักปฏิบัติบูชาเป็นฐานสำคัญ เช่น

    1. ปลูกฝังจิตสำนึกพลเมืองในระบบการศึกษา ให้ผู้เรียนเข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบต่อชาติ ไม่ใช่เพียงความภาคภูมิใจในชาติ

    2. ส่งเสริมวัฒนธรรมความซื่อสัตย์และเสียสละ ให้การรักชาติเริ่มจากการทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด

    3. สร้างพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการกำหนดนโยบายและตรวจสอบรัฐ เพื่อให้ความรักชาติแปลเป็นพลังทางสังคมจริง


    6. สรุป

    การรักชาติในสังคมไทยยังคงมีสองมิติที่ดำรงอยู่ร่วมกัน คือ อามิสบูชาและปฏิบัติบูชา การเน้นเฉพาะด้านอามิสบูชาอาจสร้างความรู้สึกผูกพันทางอารมณ์ แต่ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน การรักชาติอย่างแท้จริงต้องเกิดจากปัญญา ความเข้าใจ และการลงมือทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งเป็น “ปฏิบัติบูชา” ที่สอดคล้องกับหลักพุทธธรรมและแนวทางพัฒนาสังคมที่มีจิตสำนึก


    เอกสารอ้างอิง (ตัวอย่าง)

    • พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2543). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.

    • ชัยวัฒน์ สถาอานันท์. (2555). การเมืองแห่งความรุนแรงและความรักชาติ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง.

    • เสกสรรค์ ประเสริฐกุล. (2559). ความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...