บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวคิด “ปัญญาเชิงระบบ” (Systemic Wisdom) ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเสนอให้มนุษย์ในยุคปัจจุบันพัฒนาปัญญาที่มองเห็นโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และจิตวิญญาณของระบบ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีหลักการและทิศทาง โดยผู้เขียนได้บูรณาการแนวคิดนี้กับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎก เช่น ปัญญา 3 (สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา) อริยสัจ 4 และอิทธิบาท 4 เพื่อแสดงให้เห็นว่า “ปัญญาเชิงระบบ” มิใช่เพียงเครื่องมือในการคิด แต่คือกระบวนการแห่งการตื่นรู้ เข้าใจความเชื่อมโยงของเหตุปัจจัย และดำเนินชีวิตอย่างมีธรรมาภิบาลและสันติสุข
1. บทนำ
โลกยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยความซับซ้อนของปัญหา ทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น การคิดแบบแยกส่วนไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ จึงเสนอแนวคิด “Systemic Wisdom” หรือ “ปัญญาเชิงระบบ” เพื่อชี้ให้เห็นว่า ความฉลาดเชิงเหตุผลเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องเสริมด้วยปัญญาที่เข้าใจระบบทั้งภาพรวมและคุณค่า
แนวคิดนี้สอดคล้องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งมองโลกอย่างองค์รวม (Holistic View) ผ่านหลัก “ปฏิจจสมุปบาท” หรือ “อิทัปปัจจยตา” ที่อธิบายว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย ไม่มีสิ่งใดแยกขาดจากกันได้ ดังนั้น “ปัญญาเชิงระบบ” ในบริบทพุทธจึงเท่ากับ “ปัญญาที่เข้าใจความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง” (Dependent Wisdom) อันเป็นแก่นของการตรัสรู้ในพระพุทธศาสนา
2. แนวคิด “ปัญญาเชิงระบบ” (Systemic Wisdom) ตามทัศนะ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์
ดร.สุวิทย์ อธิบายว่า “ปัญญาเชิงระบบ” คือ ความสามารถในการเข้าใจและเปลี่ยนแปลงระบบอย่างมีหลักการและทิศทาง มองโลกทั้งในมิติ เชิงโครงสร้าง × เชิงคุณค่า โดยประกอบด้วย 3 มิติหลัก คือ
-
ความลึก (Vertical Depth) – มองเห็นทั้ง “นามธรรม” และ “รูปธรรม”
เช่น การเรียนรู้จากหลักการ (principle) เพื่อปรับใช้ในรูปแบบต่าง ๆ คล้ายกับหลัก “โยนิโสมนสิการ” ในพระไตรปิฎก ที่เน้นการพิจารณาโดยแยบคาย มองให้ลึกถึงเหตุปัจจัย ไม่ติดอยู่เพียงรูปแบบภายนอก -
ความกว้าง (Horizontal Breadth) – เห็น “ภาพใหญ่” และ “มองไกล”
เปรียบได้กับ “สัมมาทิฏฐิ” หรือความเห็นชอบ ที่รู้เท่าทันเหตุและผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว เห็นความเชื่อมโยงระหว่างตน ชุมชน และโลก เช่นเดียวกับแนวคิด “อิทัปปัจจยตา” ที่สอนว่าทุกสิ่งสัมพันธ์กัน -
เจตจำนง (Purpose) – ยึดมั่นในหลักการและความมุ่งหมายที่ถูกต้อง
ตรงกับ “อิทธิบาท 4” โดยเฉพาะ “ฉันทะ” (ความพอใจในสิ่งที่ดี) และ “วิมังสา” (การพิจารณาโดยปัญญา) ซึ่งช่วยให้การคิดและการกระทำไม่หลงทาง แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากผลประโยชน์ระยะสั้น
ดร.สุวิทย์ สรุปว่า System Thinking คือ “การเห็นระบบ” (See the System)
แต่ Systemic Wisdom คือ “การเห็นระบบและใช้ปัญญาเปลี่ยนระบบอย่างมีหลักการ” (See + Act Wisely on the System)
3. การบูรณาการกับหลักธรรมในพระไตรปิฎก
3.1 ปัญญาเชิงระบบกับหลักปัญญา 3 (สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา)
ในพระไตรปิฎก ปัญญาแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
-
สุตมยปัญญา – ปัญญาจากการฟังและเรียนรู้
-
จินตามยปัญญา – ปัญญาจากการคิดพิจารณา
-
ภาวนามยปัญญา – ปัญญาจากการปฏิบัติและภาวนา
เมื่อเทียบกับแนวคิด Systemic Wisdom จะพบว่า
-
สุตมยปัญญา คือ การเข้าใจข้อมูลระบบ (System Understanding)
-
จินตามยปัญญา คือ การวิเคราะห์เชิงเหตุผลและความสัมพันธ์ (System Thinking)
-
ภาวนามยปัญญา คือ การใช้ปัญญาเปลี่ยนระบบจริงอย่างมีเจตจำนงและคุณค่า (Systemic Wisdom)
ดังนั้น Systemic Wisdom คือขั้นสูงสุดของ “ปัญญาเชิงภาวนา” ที่นำความรู้และการคิดไปสู่ “การกระทำที่ตื่นรู้”
3.2 ปัญญาเชิงระบบกับหลักอริยสัจ 4
การพัฒนาปัญญาเชิงระบบสามารถอธิบายผ่านกระบวนการของ “อริยสัจ 4” ได้ดังนี้
-
ทุกข์ – การตระหนักถึงปัญหาของระบบ
-
สมุทัย – การค้นหาสาเหตุแห่งปัญหาในเชิงโครงสร้าง
-
นิโรธ – การเห็นภาพของระบบที่ปราศจากความขัดแย้ง
-
มรรค – การออกแบบแนวทางหรือกลไกเชิงปฏิบัติที่นำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ในเชิงระบบ การเข้าใจ “อริยสัจ 4” เท่ากับการคิดอย่างเป็นวงจร (Causal Loop) ที่เห็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการดับทุกข์แห่งระบบ
3.3 ปัญญาเชิงระบบกับหลักอิทธิบาท 4
ดร.สุวิทย์เน้นว่าการเปลี่ยนแปลงระบบต้องอาศัย “เจตจำนง” และ “หลักการ” ซึ่งสอดคล้องกับอิทธิบาท 4 ได้แก่
-
ฉันทะ – ความพอใจในสิ่งที่ดี เป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาระบบ
-
วิริยะ – ความเพียรอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการเรียนรู้เชิงระบบ (Continuous Learning)
-
จิตตะ – ความตั้งใจมั่น ไม่หลงประเด็น
-
วิมังสา – การใช้ปัญญาพิจารณาเพื่อปรับปรุงระบบ
เมื่อผนวกอิทธิบาท 4 เข้ากับ Systemic Wisdom จะทำให้ “การคิด” ไม่หยุดอยู่ที่ระดับแนวคิด แต่แปรเปลี่ยนเป็น “การลงมือปฏิบัติด้วยปัญญา”
4. การสร้างปัญญาเชิงระบบในสังคมไทย
เพื่อให้สังคมไทยก้าวสู่ “สังคมแห่งปัญญาเชิงระบบ” จำเป็นต้องพัฒนา 4 มิติสำคัญ ได้แก่
-
การศึกษาเพื่อความเข้าใจระบบ (Systemic Education)
ส่งเสริมการเรียนรู้แบบบูรณาการ ไม่แยกศาสตร์ โดยใช้หลัก “โยนิโสมนสิการ” และ “ไตรสิกขา” (ศีล สมาธิ ปัญญา) -
การบริหารเชิงธรรมาภิบาล (Systemic Governance)
รัฐควรบริหารโดยเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่มองแยกนโยบายเป็นส่วน ๆ -
การสร้างพื้นที่เรียนรู้ร่วม (Collective Learning Space)
คล้ายแนวคิด “สังฆะ” ในพระพุทธศาสนา ที่ทุกคนร่วมกันเรียนรู้ แบ่งปัน และเติบโตไปด้วยกัน -
การใช้หลักธรรมเป็นเข็มทิศ (Dhamma as Compass)
ทุกการตัดสินใจต้องอิงหลักการแห่งธรรม เช่น ความไม่ประมาท (อัปปมาทะ) และความถูกต้องชอบธรรม (ธรรมาธิปไตย)
5. สรุป
“ปัญญาเชิงระบบ” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นแนวคิดที่เชื่อมโยงวิทยาศาสตร์การคิดเชิงซับซ้อนกับมิติทางจิตวิญญาณและคุณค่ามนุษย์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งหากบูรณาการเข้ากับหลักธรรมในพระไตรปิฎก จะทำให้แนวคิดนี้มีรากทางจริยธรรมและปัญญาอย่างแท้จริง
ในทางพุทธ ปัญญาเชิงระบบจึงมิใช่เพียง “การมองเห็นระบบภายนอก” แต่คือ “การรู้แจ้งระบบภายใน” – การเห็นเหตุปัจจัยของจิตใจและพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ทั้งระดับบุคคล ชุมชน และสังคม
ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า
“โย ปปญฺญํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ”
— “ผู้ใดเห็นปัญญา ผู้นั้นย่อมเห็นธรรม”
เอกสารอ้างอิง
-
สุวิทย์ เมษินทรีย์. (2568). Systemic Wisdom: ปัญญาเชิงระบบ (Ep.1). เฟซบุ๊กส่วนตัว.
-
พระไตรปิฎก เล่มที่ 14. อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต.
-
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (2543). พุทธธรรม. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม.
-
เสฐียรพงษ์ วรรณปก. (2549). ปัญญาในพระพุทธศาสนา. มหามกุฏราชวิทยาลัย.
-
ศรีศักร วัลลิโภดม. (2556). การคิดเชิงระบบกับการจัดการองค์ความรู้ของสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น