เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 — ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยผลการศึกษาวิเคราะห์เชิงวิชาการร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง “ราคาน้ำยางสดในประเทศไทยสูงขึ้นสู่เพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568” พบว่า แม้มาตรการของภาครัฐจะมีทิศทางเชิงบวก แต่ราคาน้ำยางสดในพื้นที่ภาคตะวันออกยังอยู่เพียง 44 บาทต่อกิโลกรัม ต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้
🔹 รัฐเร่งนโยบาย “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยความจริง” ดันราคายางแตะ 70 บาท
ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรกว่า 1.6 ล้านครัวเรือน แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ราคายางตกต่ำและผันผวนจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลก การลักลอบนำเข้ายางเถื่อน และอิทธิพลของผู้ประกอบการรายใหญ่
ในปี 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายใต้การนำของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ประกาศมาตรการเร่งรัดหลายด้านเพื่อสร้างเสถียรภาพราคายาง โดยตั้งเป้าดันราคาน้ำยางสดให้แตะ 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของนโยบาย “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยความจริง”
🔹 เข้มมาตรการสกัด “ยางเถื่อน” – ตั้งเขตควบคุม 5 จังหวัดชายแดน
หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการประกาศ เขตควบคุมยางพารา ใน 5 จังหวัดชายแดน ได้แก่ เชียงราย ตาก กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และระนอง เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้ายางราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีปริมาณมากกว่า 300,000–500,000 ตันต่อปี
โดยผู้ขนย้ายยางต้องยื่นขออนุญาตทุกครั้งและรายงานข้อมูลแหล่งที่มา ปริมาณ และคุณภาพของยาง หากขนส่งเกิน 72 ชั่วโมงจะถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งมาตรการนี้ช่วยลดปริมาณยางเกินในตลาด และคาดว่าจะส่งผลให้ราคาภายในประเทศขยับสูงขึ้นในระยะถัดไป
🔹 4 กระทรวงจับมือ กยท. เพิ่มการใช้ยางในประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ 4 กระทรวง ได้แก่ ศึกษาธิการ การท่องเที่ยวและกีฬา พัฒนาสังคมฯ และการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพาราภายในประเทศ เช่น พื้นสนามกีฬา หมอนยางพารา และอุปกรณ์การเกษตร
ร.อ.ธรรมนัสระบุว่า การบูรณาการความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ยางในประเทศ และ “ขับเคลื่อนราคาน้ำยางสดให้แตะระดับ 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในเดือนตุลาคม”
🔹 AI วิเคราะห์: ยังไม่บรรลุเป้าหมาย เหตุกลไกตลาดตอบสนองช้า
จากการวิเคราะห์ร่วมระหว่าง ดร.สำราญ สมพงษ์ และระบบ AI พบว่า ราคายางสดในหลายพื้นที่ยังไม่ปรับขึ้นตามเป้า เนื่องจาก
-
กลไกตลาดยางไทยยังผูกพันกับอุปสงค์ต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและมาเลเซีย
-
การบังคับใช้กฎหมายควบคุมยางเถื่อนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น
-
มาตรการส่งเสริมการใช้ยางในประเทศยังอยู่ในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง
-
ตลาดภายในยังถูกกำหนดราคาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย
ส่งผลให้ราคาน้ำยางสดในตลาดหน้าสวนยังไม่สะท้อนนโยบายภาครัฐอย่างเต็มรูปแบบ
🔹 ผลกระทบและแนวโน้มต่อเกษตรกร
หากราคาน้ำยางสดขยับสู่ระดับ 60–70 บาทได้จริง จะช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกรกว่า 1.6 ล้านครัวเรือนเฉลี่ย 30–40% ต่อเดือน แต่ในระยะสั้น ราคาที่ยังไม่ขยับส่งผลให้ชาวสวนยางหลายพื้นที่ยังต้องรับภาระต้นทุนสูง โดยเฉพาะภาคใต้และตะวันออก
🔹 ดร.สำราญชี้ — “นโยบายมีทิศทางดี แต่ยังไม่สร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ”
ดร.สำราญกล่าวว่า
“นโยบายของภาครัฐได้สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวก แต่ยังไม่สร้างแรงส่งเชิงเศรษฐกิจในระดับที่ทำให้ราคาน้ำยางสดขยับถึงเป้าหมายภายในเดือนตุลาคม”
พร้อมเสนอว่า ควรเร่ง
-
บังคับใช้กฎหมายสกัดยางเถื่อนอย่างเข้มข้น
-
ส่งเสริมการผลิตสินค้ายางแปรรูปเพิ่มมูลค่า
-
พัฒนา “ระบบประกันรายได้ยางระดับชุมชน”
-
และเปิดตลาดใหม่ในประเทศให้กว้างขึ้น
🔹 แนวโน้มปี 2569
บทวิเคราะห์ระบุว่า หากมาตรการรัฐดำเนินต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ ราคาน้ำยางสดมีแนวโน้มค่อย ๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นใน ไตรมาสแรกของปี 2569 โดยเฉพาะเมื่อโครงการใช้ยางในภาครัฐเริ่มเดินหน้าเต็มรูปแบบ
🟩 สรุปข่าว:
แม้นโยบายรัฐเพื่อยกระดับราคาน้ำยางสดยังไม่บรรลุเป้าหมายภายในเดือนตุลาคม 2568 แต่ได้จุดประกาย “ความหวังใหม่” ให้กับชาวสวนยางทั่วประเทศ โดยเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลเริ่มขยับแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดยางอย่างจริงจัง
การวิเคราะห์นโยบายการผลักดันราคาน้ำยางสดไทยสู่เพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัม
โดย ดร.สำราญ สมพงษ์
นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี
ร่วมกับ ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)
บทคัดย่อ (Abstract)
บทความนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์เชิงนโยบายเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อยกระดับราคาน้ำยางสดในประเทศไทยให้แตะเพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในเดือนตุลาคม 2568 โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างเศรษฐกิจการเกษตรร่วมกับข้อมูลภาคสนาม พบว่า แม้นโยบายของภาครัฐมีทิศทางเชิงบวกและก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในตลาด แต่ในเชิงปฏิบัติราคาน้ำยางสดยังไม่ขยับถึงเป้าหมาย โดยอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 44 บาทต่อกิโลกรัม ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ซึ่งสะท้อนถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของตลาดยางไทยและความล่าช้าในการตอบสนองของกลไกเศรษฐกิจ
1. บทนำ
ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทยที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรกว่า 1.6 ล้านครัวเรือน และเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ อย่างไรก็ตาม ราคายางในรอบทศวรรษที่ผ่านมามีความผันผวนสูง อันเนื่องมาจากปัจจัยภายนอก (ราคาน้ำมันโลก ความต้องการของจีน) และปัจจัยภายในประเทศ (การลักลอบนำเข้ายางเถื่อน การผูกขาดตลาด และข้อมูลไม่โปร่งใส)
ในปี 2568 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ภายใต้การนำของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ได้ประกาศนโยบาย “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วยความจริง” โดยตั้งเป้ายกระดับราคาน้ำยางสดให้แตะเพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัมภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2568
2. มาตรการสำคัญของภาครัฐ
2.1 ควบคุมการลักลอบนำเข้ายางเถื่อน
ออกประกาศ “เขตควบคุมยางพารา” ใน 5 จังหวัดชายแดน (เชียงราย ตาก กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และระนอง) เพื่อสกัดยางเถื่อนกว่า 300,000–500,000 ตันต่อปี ซึ่งเคยเป็นต้นเหตุให้ราคายางตกต่ำ
2.2 ความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการใช้ยางในประเทศ
มีการลงนาม MOU ระหว่าง 4 กระทรวงหลัก (เกษตรฯ, ศึกษาธิการ, การท่องเที่ยวและกีฬา, พม.) และการยางแห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการใช้วัสดุจากยางพาราในโครงการของรัฐ เช่น สนามกีฬา พื้นยาง หมอน และอุปกรณ์ทางการเกษตร
2.3 การบริหารจัดการข้อมูลสต๊อกและตรวจสอบผู้ประกอบการ
ดำเนินโครงการ “ออกโฉนดต้นยาง” เพื่อสร้างฐานข้อมูลการผลิต–การใช้ที่โปร่งใส พร้อมตรวจสอบพฤติกรรมผู้ประกอบการรายใหญ่ที่อาจกดราคารับซื้อจากเกษตรกร
3. ผลการวิเคราะห์และสถานการณ์จริง
ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ระบุว่า
ราคาน้ำยางสดในจังหวัดระยองเฉลี่ยอยู่ที่ 44 บาทต่อกิโลกรัม
ซึ่ง ยังไม่บรรลุเป้าหมาย 60–70 บาท ที่ตั้งไว้โดยกระทรวงเกษตรฯ
4. วิเคราะห์เชิงโครงสร้าง
4.1 กลไกตลาดยังไม่ตอบสนอง
ตลาดยางไทยผูกพันกับอุปสงค์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนและมาเลเซีย ซึ่งยังไม่ปรับตัวทันต่อมาตรการรัฐ
4.2 การลักลอบนำเข้ายางเถื่อนยังมีอยู่บางส่วน
แม้มีประกาศควบคุม แต่การบังคับใช้ในภาคสนามยังไม่เต็มรูปแบบ
4.3 มาตรการส่งเสริมการใช้ยางอยู่ในระยะเริ่มต้น
MOU ที่ลงนามยังไม่แปรสภาพเป็นคำสั่งซื้อจริงในระบบราชการ
4.4 อิทธิพลของกลุ่มทุนขนาดใหญ่
ตลาดยางมีผู้เล่นหลักเพียงไม่กี่รายที่มีอำนาจต่อรองสูง ทำให้ราคาหน้าสวนยังไม่สะท้อนนโยบายรัฐ
5. สรุปผลและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
-
นโยบายของรัฐได้สร้างแรงกระเพื่อมเชิงบวก แต่ยังไม่สร้างแรงส่งทางเศรษฐกิจเต็มรูปแบบ
-
ควรเร่งบังคับใช้กฎหมายควบคุมยางเถื่อนให้ได้ผลในเชิงปฏิบัติ
-
ส่งเสริมการผลิตสินค้าแปรรูปจากยางเพื่อเพิ่มมูลค่าในประเทศ
-
สร้างระบบ “ประกันรายได้ยาง” ระดับชุมชนเพื่อเสริมความมั่นคง
-
พัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลกลางด้านยาง เพื่อป้องกันการผูกขาดราคา
บทสรุป
นโยบายผลักดันราคาน้ำยางสดสู่เพดาน 60–70 บาทต่อกิโลกรัม ถือเป็นกรณีศึกษานโยบายเศรษฐกิจฐานรากที่สำคัญของไทยในปี 2568 แม้ยังไม่บรรลุผลตามเป้าหมายในเชิงตัวเลข แต่ได้จุดประกาย “แรงศรัทธาใหม่” ให้กับชาวสวนยางทั่วประเทศว่ารัฐบาลกำลังเดินในทิศทางที่ถูกต้อง หากมีการปรับยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง ราคายางมีแนวโน้มขยับขึ้นได้ในช่วง ไตรมาสแรกของปี 2569
%20(1)%20(1).png)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น