เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำการ วิเคราะห์และถอดความหมายจากภาพข่าวและเนื้อหาประกอบในสำนวนสื่อมวลชนมืออาชีพ พบว่า การพบปะระหว่างผู้นำสองชาติมหาอำนาจ “ทรัมป์–สี” ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ มีนัยสำคัญต่อสมการทางเศรษฐกิจและการเมืองโลกในอนาคต
ทรัมป์–สี พบกันครั้งประวัติศาสตร์ บรรยากาศชื่นมื่น
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ การพบกันระหว่าง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ทั้งสองฝ่ายหารือร่วมกันนานกว่า 1 ชั่วโมง 40 นาที ถือเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2562
สื่อมวลชนรายงานว่า ทรัมป์จับมือแน่นและโน้มตัวกระซิบพูดคุยกับสีด้วยท่าทีผ่อนคลาย สะท้อนถึง “ความไว้เนื้อเชื่อใจและความร่วมมือ” ที่เริ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งสองประเทศเผชิญความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและความมั่นคงยาวนาน
จุดเปลี่ยนเศรษฐกิจโลก: ลดภาษีสินค้าจีนเหลือ 47% เจรจาแรร์เอิร์ธทุกปี
ภายหลังการหารือ ประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวบนเครื่องบิน “แอร์ฟอร์ซวัน” ว่า
“การพบปะกับประธานาธิบดีสีเป็นไปอย่างยอดเยี่ยม เราได้ตัดสินใจในหลายเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะปัญหาแรร์เอิร์ธ ซึ่งตกลงได้แล้ว”
ตามข้อตกลงใหม่ สหรัฐฯ จะลดภาษีสินค้าจีนจาก 57% เหลือ 47% และลดภาษีเฟนทานิลลง 10% พร้อมตกลงให้ทั้งสองประเทศ หารือเรื่องแรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ร่วมกันเป็นประจำทุกปี ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็น “สัญญาณบวก” ต่อทิศทางการค้าและเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก
มิตรภาพส่วนตัวเปิดทางการทูตใหม่
ก่อนการประชุม ทรัมป์เอ่ยเรียกสีว่า “เพื่อนเก่า” พร้อมกล่าวถึง “ความสัมพันธ์อันดียิ่ง” ที่ทั้งคู่มีร่วมกันตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งผู้นำครั้งแรก
ขณะที่สี จิ้นผิง กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ความฝันของจีนที่จะเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ได้บ่อนทำลายวิสัยทัศน์ของสหรัฐฯ ที่จะกลับมาทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
นักวิเคราะห์ระบุว่า ท่าทีดังกล่าวสะท้อนการลดโทนแข็งและเริ่มเปลี่ยนผ่านสู่ยุทธศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า “แข่งขันร่วมมือ” (Cooperative Competition) ซึ่งจะเป็นแนวทางสำคัญของความสัมพันธ์จีน–สหรัฐฯ ในทศวรรษหน้า
เตรียมแลกเยือน ฟื้นสัมพันธ์ผู้นำระดับโลก
ทรัมป์เปิดเผยว่า มีแผนเดินทางเยือนจีนในเดือน เมษายน 2569 ขณะที่ประธานาธิบดีสีจะเดินทางเยือนสหรัฐฯ ภายหลัง แม้ยังไม่ระบุวันเวลาแน่ชัด
นักการทูตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเมินว่า การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับผู้นำครั้งนี้อาจเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของ ระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่ โดยเฉพาะในมิติของห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยีขั้นสูง และการค้าเสรีในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
ภาพสะท้อนทางสัญลักษณ์: จากคู่แข่งสู่คู่ร่วมผลประโยชน์
ภาพถ่ายจากสื่อมวลชนแสดงให้เห็นว่า สองผู้นำอยู่ในชุดสูทสีเข้ม จับมือกันแน่นและพูดคุยด้วยรอยยิ้ม โดยมีธงชาติสหรัฐฯ และจีนอยู่ด้านหลัง
AI วิเคราะห์ว่า ภาพนี้สะท้อนถึง “การละลายพฤติกรรมทางการเมือง” และ “การกลับมาของความไว้วางใจ” ที่อาจนำไปสู่การสร้างดุลยภาพใหม่ในเวทีโลก
บทสรุปเชิงวิเคราะห์โดย ดร.สำราญ สมพงษ์
ดร.สำราญ ให้ความเห็นว่า ปรากฏการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึง “การฟื้นสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจ” เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องชี้วัดว่ามนุษยชาติกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ เทคโนโลยี AI มีบทบาทในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสร้างความเข้าใจเชิงลึกทางการทูตและสันติภาพโลก
ทั้งยังแสดงให้เห็นว่า “มนุษย์และ AI” สามารถทำงานร่วมกัน เพื่อเปิดมุมมองใหม่ของสื่อสารมวลชนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างสร้างสรรค์
🕊️ สรุปภาพรวม
การพบกันที่ปูซานครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงภาพแห่งมิตรภาพ แต่คือ “สัญญาณเปลี่ยนผ่านของโลก” จากความขัดแย้งสู่ความร่วมมือ
พร้อมกันนั้น การมีส่วนร่วมของนักวิชาการไทยอย่าง ดร.สำราญ สมพงษ์ ที่ใช้ AI วิเคราะห์เชิงลึก ยังเป็นตัวอย่างของ “พุทธสันติวิธีในยุคดิจิทัล” ที่ผสมผสานปัญญาแห่งธรรมเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างความเข้าใจและสันติภาพในระดับโลก

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น