วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ดร.สำราญ” ผนึก AI วิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาค่าน้ำ–ค่าไฟวัด เสนอใช้ “โซล่าเซลล์” สร้างวัดพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน



เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568ดร.สำราญ สมพงษ์ นักวิชาการอิสระด้านพุทธสันติวิธี อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษ ปี 2535 พรรคเกษตรเสรี และสมาชิกพรรคแผ่นดินธรรม เปิดเผยผลการวิเคราะห์ร่วมกับระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เรื่อง “แนวทางการแก้ปัญหาค่าน้ำ–ค่าไฟวัดอย่างยั่งยืนด้วยการติดตั้งโซล่าเซลล์” พบว่า การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของวัดในประเทศไทยที่ขาดงบประมาณในการชำระค่าสาธารณูปโภค ควรเปลี่ยนแนวคิดจากการพึ่งงบประมาณรัฐ มาเป็นการพึ่งพาตนเองด้วยพลังงานสะอาด

รายงานการวิเคราะห์ระบุว่า วัดในประเทศไทยจำนวนมากประสบปัญหาการบริหารจัดการงบประมาณ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านค่าน้ำและค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และการลดลงของรายได้จากการทำบุญของพุทธศาสนิกชน ซึ่งสอดคล้องกับการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ นายชวน หลีกภัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลถึงมาตรการช่วยเหลือวัดที่ถูกตัดน้ำ–ตัดไฟ ขณะที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่ารัฐบาลเตรียมเสนอให้ใช้งบกลางและกองทุนวัดช่วยวัดเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ดร.สำราญและระบบ AI เห็นตรงกันว่า มาตรการทางงบประมาณไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน หากวัดไม่สามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้ โดยเสนอให้ใช้ ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสะอาดและประหยัดพลังงาน มาประยุกต์ใช้ภายในวัด เช่น การผลิตไฟฟ้าใช้กับหลอดไฟ เครื่องเสียง ปั๊มน้ำ และระบบกล้องวงจรปิด ซึ่งจะช่วยลดค่าไฟได้กว่า 70–100% และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว

ทั้งนี้ รายงานยังยกกรณีศึกษาของ วัดป่าศรีแสงธรรม จังหวัดอุบลราชธานี เป็นตัวอย่างของ “วัดพึ่งพาตนเอง” ที่ประสบความสำเร็จในการติดตั้งโซล่าเซลล์ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ภายในวัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยมี พระอาจารย์วิเชียร โอภาโส เป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งนอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมากแล้ว ยังกลายเป็นศูนย์เรียนรู้ด้านพลังงานแสงอาทิตย์แก่ชุมชนโดยรอบ

ดร.สำราญ ระบุว่า แนวทางนี้ไม่เพียงเป็นการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของวัด แต่ยังเป็นการส่งเสริมหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เช่น “อัปปิจฉตา” (มักน้อย) และ “สันโดษ” (ยินดีในสิ่งที่มี) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด พุทธเศรษฐศาสตร์ และ การพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

พร้อมกันนี้ ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งโครงการ “วัดสีเขียว (Green Temple Project)” ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ เอกชน และประชาชน (PPP Model) เพื่อสนับสนุนงบประมาณติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ในวัดทั่วประเทศ โดยผ่านกองทุนศาสนสมบัติกลางหรือกองทุนพลังงาน อีกทั้งควรมีมาตรการส่งเสริมการบริจาคหรือการลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้สนับสนุนวัดสีเขียว

นอกจากนี้ยังเสนอให้ สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ บรรจุแนวคิด “วัดพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน” ในแผนยุทธศาสตร์การบริหารวัดระดับชาติ รวมถึงให้สถานศึกษาร่วมกับวัดในการฝึกอบรมพระภิกษุและเยาวชนด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน เพื่อสร้างความรู้และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชน

ดร.สำราญ กล่าวทิ้งท้ายว่า

“การแก้ปัญหาค่าน้ำ–ค่าไฟวัดด้วยการติดตั้งโซล่าเซลล์ มิได้เป็นเพียงการลดภาระค่าใช้จ่าย แต่คือการปฏิรูปวัดให้ก้าวสู่ความยั่งยืน คืนศรัทธาให้พุทธศาสนา และสร้างแบบอย่างวัดยุคใหม่ที่อยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล”

สรุป: แนวทางการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ในวัด ถือเป็นนวัตกรรมเชิงธรรมและเทคโนโลยี ที่สามารถเปลี่ยน “วิกฤติพลังงานของวัด” ให้กลายเป็น “โอกาสแห่งการฟื้นฟูศาสนาไทย” อย่างแท้จริง.

วิเคราะห์แนวทางการแก้ปัญหาค่าน้ำ–ค่าไฟวัดอย่างยั่งยืนด้วยการติดตั้งโซล่าเซลล์

บทคัดย่อ

บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวทางการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของวัดในประเทศไทยที่ประสบปัญหาการขาดงบประมาณในการจ่ายค่าน้ำและค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัญหาสืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและความเสื่อมถอยของศรัทธาชาวพุทธในช่วงหลัง โดยพิจารณาทั้งจากมิติของนโยบายภาครัฐที่นำเสนอโดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี และข้อเสนอของนายชวน หลีกภัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนกรณีศึกษาวัดป่าศรีแสงธรรม จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซล่าเซลล์) แทนพลังงานไฟฟ้าหลัก เพื่อความยั่งยืนและพึ่งพาตนเองทางพลังงานของวัด


1. บทนำ

วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนและจิตใจของพุทธศาสนิกชนไทยมาอย่างยาวนาน แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา วัดจำนวนมากต้องเผชิญกับปัญหาด้านการบริหารจัดการงบประมาณ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำและค่าไฟฟ้า ซึ่งเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจและการลดลงของรายได้จากการทำบุญของประชาชน

จากการอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2568 นายชวน หลีกภัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งกระทู้สดสอบถามรัฐบาลถึงมาตรการช่วยเหลือวัดที่ขาดแคลนงบประมาณ จนบางวัดในกรุงเทพมหานครถูกตัดน้ำและไฟ ขณะที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ตอบชี้แจงว่ารัฐบาลเตรียมเสนอให้ใช้งบกลาง รวมถึงกองทุนวัดช่วยวัด และกองทุนศาสนสมบัติกลาง เพื่อบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาเชิงพยุงด้วยงบประมาณรัฐเป็นเพียงมาตรการระยะสั้น ไม่อาจสร้างความยั่งยืนได้ หากไม่พัฒนาแนวทางการพึ่งพาตนเองของวัด โดยเฉพาะในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวทางการติดตั้ง ระบบโซล่าเซลล์ ถือเป็นทางออกที่สอดคล้องกับหลักพุทธเศรษฐศาสตร์และแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน


2. สภาพปัญหาและผลกระทบต่อศาสนา

การขาดงบประมาณในการจ่ายค่าน้ำ–ค่าไฟวัด ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาและศีลธรรมในชุมชน วัดบางแห่งต้องพึ่งพาอุบาสกอุบาสิกาช่วยจ่ายค่าสาธารณูปโภค ขณะที่บางวัดในพื้นที่เมืองใหญ่ถูกตัดการให้บริการ จนกลายเป็นข่าวที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาโดยรวม

ปัญหานี้ยังเชื่อมโยงกับประเด็นความเสื่อมศรัทธาในหมู่ชาวพุทธ ซึ่งนายชวน หลีกภัย ได้ชี้ว่า “การกระทำของพระบางรูป กระทบต่อพระอีกสองแสนรูป” ทำให้ประชาชนบางส่วนลดละการทำบุญและมีทัศนคติลบต่อวัด ดังนั้นการสร้างระบบบริหารจัดการวัดที่โปร่งใสและพึ่งพาตนเองได้ จึงเป็นส่วนสำคัญในการฟื้นฟูศรัทธาในระยะยาว


3. แนวทางการแก้ปัญหาด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

3.1 หลักการของโซล่าเซลล์

ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell System) เป็นการแปลงพลังงานจากแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งสามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในวัด เช่น หลอดไฟ เครื่องขยายเสียง เครื่องปั๊มน้ำ หรือระบบกล้องวงจรปิด โดยลดภาระค่าไฟจากการไฟฟ้า และช่วยให้วัดมีความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว

3.2 กรณีศึกษา: วัดป่าศรีแสงธรรม จังหวัดอุบลราชธานี

วัดป่าศรีแสงธรรมเป็นตัวอย่างต้นแบบของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดในภาคศาสนา โดยพระอาจารย์วิเชียร โอภาโส ได้ริเริ่มติดตั้งระบบโซล่าเซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในกิจกรรมของวัดและโรงเรียนพระปริยัติธรรม ส่งผลให้วัดสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก และยังถ่ายทอดความรู้ด้านพลังงานแสงอาทิตย์แก่ชุมชนโดยรอบ ถือเป็น “วัดพึ่งพาตนเอง” ที่แท้จริง และเป็นโมเดลให้วัดอื่นทั่วประเทศได้ศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้

3.3 ข้อดีของการใช้โซล่าเซลล์ในวัด

  • ลดค่าใช้จ่ายค่าน้ำ–ค่าไฟได้กว่า 70–100%

  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์

  • สอดคล้องกับหลัก “อัปปิจฉตา” (มักน้อย) และ “สันโดษ” (ยินดีในสิ่งที่มี)

  • สร้างจิตสำนึกด้านพลังงานสะอาดแก่เยาวชนและชุมชน

  • เพิ่มความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาวโดยไม่ต้องพึ่งงบรัฐ


4. แนวทางเชิงนโยบายและข้อเสนอเพื่อความยั่งยืน

  1. รัฐบาลควรจัดตั้งโครงการ “วัดสีเขียว” (Green Temple Project) เพื่อสนับสนุนวัดที่พร้อมติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านกองทุนศาสนสมบัติกลางและงบประมาณจากกระทรวงพลังงาน

  2. ภาครัฐ–เอกชน–ประชาชน (โมเดล PPP) ควรร่วมมือกันพัฒนาวัดต้นแบบในแต่ละจังหวัด เพื่อสร้างเครือข่ายพลังงานสะอาดในชุมชน

  3. สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ควรบรรจุแนวคิด “วัดพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน” ในแผนยุทธศาสตร์การบริหารวัดระดับชาติ

  4. ภาคการศึกษาและสถาบันพลังงานทดแทน ควรร่วมมือกับวัดในการฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับพระภิกษุและชุมชน

  5. สร้างแรงจูงใจทางภาษีหรือการบริจาคเพื่อวัดสีเขียว ให้กับผู้สนับสนุนการติดตั้งโซล่าเซลล์ในวัด


5. สรุป

การแก้ไขปัญหาค่าน้ำ–ค่าไฟวัดด้วยการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์มิได้เป็นเพียงการลดภาระทางการเงิน แต่ยังเป็นแนวทางการปฏิรูปการบริหารวัดให้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างศรัทธาของประชาชนกลับคืนมา ทั้งนี้ รัฐบาล คณะสงฆ์ และพุทธบริษัทควรทำงานร่วมกัน เพื่อเปลี่ยน “วิกฤติพลังงานของวัด” ให้เป็น “โอกาสแห่งการฟื้นฟูศาสนาไทย”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

นายกฯลาวดวงตาเห็นธรรมพุทธ หวังเสริมแกร่งเป็นฐานพัฒนาประเทศ

บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: นายกรัฐมนตรีลาวกับข้อเรียกร้องให้พระพุทธศาสนามีบทบาทที่แข็งแกร่งในกระบวนการพัฒนาประเทศ: พลวัตใหม่แห่งรัฐสังคมนิยม...